อะไรคือปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจในผู้ป่วยเบาหวาน?
การมีระดับน้ำตาลสูงในเลือดของโรคเบาหวานเองนั้นเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดโรคหัวใจในผู้ป่วยเบาหวาน นอกจากนี้ ภาวะอื่นๆ ที่พบได้บ่อยมากในผู้ป่วยเบาหวานได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในกระแสเลือดสูง ได้แก่การมีระดับคอเลสเตอรอล และ ไตรกลีเซอไรด์สูง และการมีระดับไขมันดี (เอช-ดี-แอล คอเลสเตอรอล) ต่ำ และภาวะอ้วนลงพุง (เส้นรอบพุงเกิน 80 ซม หรือ 32 นิ้วในผู้หญิง หรือ เกินกว่า 90 ซม หรือ 36 นิ้วในผู้ชาย) ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดโรคหัวใจให้มากขึ้นอีกหลายเท่า นอกจากนี้ถ้าผู้ป่วยโรคเบาหวานสูบบุหรี่จะทำให้มีโอกาสการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าได้ ในกรณีที่มีญาติหรือครอบครัวที่ใกล้ชิดเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุไม่มาก (ผู้ชายอายุน้อยกว่า 55 ปี หรือ ผู้หญิงอายุน้อยกว่า 65 ปี) ก็จะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้นเช่นกัน
โรคหัวใจในผู้ป่วยเบาหวานมีอะไรบ้าง?
โรคหัวใจที่สำคัญในผู้ป่วยเบาหวานมีอยู่ 2 โรค ได้แก่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด และโรคหัวใจวาย การเกิดโรคดังกล่าวเป็นผลเนื่องมาจากหลอดเลือดของผู้ป่วยเบาหวานมีการสะสมของไขมันชนิดต่างๆ ในผนังหลอดเลือด และมีการอักเสบที่บริเวณผนังหลอดเลือด ทำให้มีอาการปริแตกของผนังได้ง่าย เกิดภาวะเลือดออกจากผนังและทำให้มีการอุดตันจากก้อนเลือดได้ เมื่อมีการอุดตันของหลอดเลือดจึงเกิดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นกับหลอดเลือดขนาดใหญ่ที่ไปเลี้ยงหัวใจ อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน หรือ การเต้นของหัวใจที่ผิดปกติทำให้เสียชีวิตได้ทันที ในกรณีที่เกิดการตีบตันอย่างช้าๆ จะทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยลงเรื่อยๆ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจไม่สามารถทำงานได้ตามปรกติ คือ ไม่สามารถบีบเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ จึงเกิดภาวะหัวใจโตและหัวใจวายในที่สุด
ผู้ป่วยเบาหวานจะรู้ได้อย่างไรว่ามีโรคหัวใจแล้ว?
อาการที่สำคัญของการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดคือการเจ็บแน่นหน้าอก โดยอาจจะเกิดหลังจากการออกกำลังกายในช่วงที่ยังเป็นไม่มาก หรือเกิดขึ้นได้แม้อยู่เฉยๆ เมื่อมีการอุดตันมากขึ้น โดยอาการของการแน่นหน้าอกอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยได้แก่อาการแน่นร้าวขึ้นไปถึงคอ แขนซ้ายหรือลิ้นปี่ ในบางครั้งอาจมีอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ เหงื่อออกร่วมด้วย อาการต่างๆ เหล่านี้อาจจะไม่ปรากฏในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เริ่มมีการทำลายของเส้นประสาทรับความรู้สึก เช่นผู้ที่มีอาการชาตามปลายเท้าแล้วเนื่องจากเส้นประสาทรับความรู้สึกจากหัวใจจะเสียไปด้วยเช่นกัน ทำให้มีอาการเหนื่อยๆ หน้ามืด เวียนศีรษะ โดยไม่มีอาการแน่นหน้าอกได้ สำหรับอาการของโรคหัวใจวายได้แก่การเกิดอาการเหนื่อยง่าย โดยจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ มีอาการเหนื่อยเวลานอนราบ และอาจมีอาการขาบวมน้ำในเวลาบ่ายๆ เย็นๆ
โดยทั่วไปแล้วแพทย์ที่ทำการดูแลรักษาโรคเบาหวานจะมีการตรวจคัดกรองโรคหัวใจอยู่สม่ำเสมอไม่ว่าผู้ป่วยจะมีอาการหรือไม่โดยอาจเริ่มจากการตรวจคลื่นหัวใจเป็นการคัดกรองเบื้องต้นโดยไม่ต้องรอให้ผู้ป่วยมีอาการใดๆ
เราจะป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้อย่างไร?
การเข้าใจในการเกิดโรคหัวใจและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจะเป็นหลักการสำคัญในการรักษาและป้องกันโรคหัวใจได้โดยมีหลักการดังต่อไปนี้คือ
การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อหัวใจโดยการเพิ่มปริมาณเส้นใย กากใยอาหารได้แก่ พืช ผัก ผลไม้ (เฉพาะผลไม้ที่มีรสไม่จัด เนื่องจากน้ำตาลจากผลไม้จะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน) การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน (โดยเฉพาะกรดไขมันอิ่มตัว หรือ กรดไขมัน ทรานส์) ที่พบได้ในไขมันจากสัตว์ทุกชนิด หนังสัตว์ อาหารทอด เนยเทียม เบเกอรี่ต่างๆ เช่นคุกกี้ ขนมเค๊ก เป็นต้น นอกจากนี้น้ำมันจากพืชบางชนิดได้แก่ น้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะพร้าว หรือกะทิ ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยออกกำลังอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที โดยควรจะออกอย่างน้อย 5 ครั้งต่อสัปดาห์ เช่นการเดินเร็ว หรือการขี่จักรยานโดยควรทำให้ต่อเนื่อง (การลงไปแช่น้ำเฉยๆ ในสระว่ายน้ำครึ่งชั่วโมง นั้นไม่ถือว่าเป็นการออกกำลังกาย)
การรักษาน้ำหนักให้คงที่หรือการลดน้ำหนักในผู้ที่มีน้ำหนักเกินก็เป็นสิ่งสำคัญต่อการป้องกันโรคหัวใจเช่นกัน สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการเลิกบุหรี่โดยเด็ดขาดสำหรับผู้ที่สูบบุหรี่อยู่
ข้อมูลจาก :