Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
"ทำไมจึงต้องถวายคืนพระราชอำนาจ ?"
ตอนที่ 1
ตกทุกข์ได้ยากเพราะไม่รู้เหตุ
ประเทศไทยตกยุคล้าหลังมาช้านานจากการที่เข้าใจว่าระบอบที่คณะราษฎรยึดอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์คือระบอบประชาธิปไตยแท้จริงแล้วคือจุดเริ่มของระบอบเผด็จการของคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งที่อ้างว่าตน"มาจากปวงชน" ก่อนที่จะพัฒนารูปแบบจนกลายเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภา(Parliamentary Dictatorial Regime) เต็มรูปแบบ
 
ขบวนการประชาธิปไตยได้ทำการอธิบายเรื่องการสร้างระบอบใหม่มาอย่างต่อเนื่อง และได้ทำการชี้ให้เห็นว่าจะต้องแก้ปัญหาที่ระบอบอื่นใด มิใช่มุ่งตรงแก้ปัญหาที่ตัวบุคคลและเป็นผู้พยายามยกระดับพันธมิตรจากการขับไล่ "ทักษิณ"คือตัวบุคคลมาเป็นการขับไล่ "ระบอบทักษิณ" ดังปรากฎอยู่บนเวทีพันธมิตรในปี 2549 พัฒนาการการเคลื่อนไหวของพันธมิตรนับแต่ปี 2549 ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน บ่งชี้ให้เห็นร่องรอยที่ขบวนฯได้นำเสนอผ่านนักเคลื่อนไหวต่างๆซึ่งอาจกล่าวได้ว่าม็อบพันธมิตรมีคุณูปการต่อประเทศชาติและเป็นประโยชน์ที่ทำให้เราขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้มีโอกาสชี้แจงให้เห็นปัญหาของระบอบอย่างเป็นรูปธรรมตามทฤษฎีการปฏิวัติประชาธิปไตยพระปกเกล้า
 
ในขณะที่ตัวแกนนำพันธมิตรเองสามารถอธิบายให้มวลชนเข้าใจได้เพียงแค่"ปรากฏการณ์" ด้วยปัญหาคอรัปชั่นบนพื้นฐานของความอยุติธรรมของสังคมผ่านพฤติกรรมของบุคคลและคณะบุคคลเท่านั้น
 
การพูดผิด เข้าใจผิด ได้รับการสะท้อนผ่านสื่อต่างๆว่าตามๆกันมา จนไม่สามารถรับรู้สารที่แท้จริงว่าผู้เสนอ นำเสนอเรื่องอะไร มีจุดมุ่งหมายของการกระทำอย่างไรและต้องการเลือกวิธีการอย่างไรเพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายนั้น ระดับความเข้าใจเช่นนี้ไม่ต่างกันเลยกับการที่เสนอการปกครองเฉพาะกาลซึ่งเป็นเรื่องของระบอบแต่นักวิชาการไพล่ไปวิจารณ์ว่าไม่ต้องการนายกพระราชทาน ซึ่งเป็นเพียงเรื่องของบุคคล นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง รวมทั้งสื่อมวลชนไม่มีผู้ใดเลยรู้แจ้งในปัญหาของระบอบและไม่มีทีท่าจะมีการศึกษาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวนอกจากเป็นสังคมจับคำพูดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปถามต่อกับอีกฝ่ายหนึ่งช่วยเร่งการขยายผลให้เกิดความขัดแย้งหนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก
 
ความไม่เปิดกว้างต่อทัศนะ ติดกรอบทฤษฎี "ปฏิรูป" แบบเดิมๆ ไม่ใจกว้างพอต่อการเรียนรู้และทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ของปัญหา พอใจที่จะนำปรากฏการณ์มาสะท้อนอย่างหยาบฉาบฉวย ห่างไกลจากคำว่า "วิชชา" ยิ่งๆขึ้น ให้คำตอบง่ายๆอย่างที่พันธมิตรมักจะพูดตามๆกันว่า “ไล่มันไปให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ว่าจะเอายังไง " สะท้อนให้เห็นว่าม็อบก็คือม็อบ เพราะยังไม่ได้ยกระดับความรู้ให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมด้วยจริงเข้าใจว่าหนทางแก้ปัญหาที่แท้จริงนั้นมีอยู่แล้ว หากแต่แกนนำพันธมิตรเองยังไม่สามารถสะท้อนปรากฏการณ์สู่ทฤษฎีใหม่สู่การสร้างบ้านแปลงเมืองได้
แล้วเราจะเริ่มต้นแก้ปัญหานี้อย่างไร ??
 
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพันธมิตรฯทำได้แค่เพียงแค่ขับไล่ตัวบุคคลแต่ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นตอคือการเปลี่ยนระบอบได้ สมัคร สุนทรเวช จึงกลายเป็นเป้าหมายต่อมาที่ต้องถูกขับไล่อีกท่ามกลางการกระชับแน่นของกลไกอำนาจฝ่ายบริหารผ่านนายกรัฐมนตรีและกลไกรัฐเผด็จการ ในขณะที่สมัครสุนทรเวชให้ข่าวต่อสื่อมวลชนต่างประเทศว่าตนได้รับการเลือกตั้งมาอย่างถูกต้อง และจะทำหน้าที่รักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขต่อไป
 
ล่าสุดสนธิ ลิ้มทองกุลได้กล่าวบนเวทีพันธมิตรโดยอ้างจากการให้ข่าวสื่อมวลชนต่างประเทศว่าการเลือกตั้งด้วยการซื้อเสียงไม่ใช่ประชาธิปไตยปฏิเสธคำกล่าวอ้างของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
 
อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าเสียดายว่าสนธิลิ้มทองกุลยังไม่สามารถอธิบายความหมายได้ครบสมบูรณ์ว่าระบอบทักษิณที่มีสมัครสุนทรเวชเป็นนอมินีดังคำที่เขากล่าวหาและปฏิเสธหัวชนฝาอย่างสิ้นเชิงนั้นคือระบอบอะไร และ "การเมืองใหม่"ที่เขาต้องการให้เกิดขึ้นมานั้นมีรูปธรรมอย่างไรเขายังไม่สามารถอธิบายย้อนกลับไปยังรากเหง้าของปัญหาว่าระบอบนี้พัฒนามาอย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ โดยใคร และกระชับต่อเนื่อง
 
แท้จริงแล้วสนธิ ลิ้มทองกุลเองก็ได้เคยเสนอการถวายคืนพระราชอำนาจด้วยการนำถวายสัตย์ปฏิญาณระหว่างการเริ่มชุมนุมเมื่อปลายปี2548 ที่สวนลุมพินีเพื่อนำสู่แนวทางปฏิวัติสันติ ในช่วงเวลานั้นเขายังสู้อยู่คนเดียวในนามรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์"ที่ออกอากาศทางสถานีดาวเทียมเอเอสทีวีช่อง 1 โดยไม่มีแกนนำ "พันธมิตร" อีก 4 คน ซึ่ง3 ใน 4 เป็นอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์(พคท.)มาเข้าร่วมเช่นในปัจจุบัน
 
คนจำนวนหนึ่งที่ติดตามให้กำลังใจเขาระหว่างรู้ดีว่าสนธิ ลิ้มทองกุลละทิ้งแนวทางการถวายคืนพระราชอำนาจทั้งที่ได้ทำการถวายสัตย์ปฏิญญาทั้งในหอประชุมสวนลุมพินีและอีกครั้งที่บริเวณลานหน้าพระบรมรูปล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6 ในคืนเดียวกันเพราะเหตุผลเดียวคือการรับข้อเสนอใหม่จาก "มิตรร่วมรบ"ทั้ง 4 ที่ต่อมากลายเป็นแกนนำพันธมิตร
 
ในปลายปี 2548 หลังจากที่สนธิ ลิ้มทองกุลได้นำเสนอเรื่องการถวายคืนพระราชอำนาจ ปรากฎชื่อนักเคลื่อนไหวอดีตสหายในป่าชื่อพิภพ ธงชัยในนามคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ออกมาแสดงการคัดค้าน ซึ่งขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้ทำแถลงการณ์โต้ตอบกับพิภพ ธงชัยแทนสนธิ ลิ้มทองกุล (ปรากฎอยู่ในหนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย)
 
อย่างไรก็ดีช่วงต้นปี 2549 สนธิ ลิ้มทองกุลได้ตัดสินใจเลือกแนวทาง "การปฏิรูป"การเมืองผ่านแนวทางรัฐธรรมนูญเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการได้มิตรร่วมรบจาก 4แกนนำใหม่ที่เข้ามาสมทบและหนึ่งในนั้นก็คือพิภพ ธงชัย ข่าววงในแจ้งรับทราบกันชัดเจนว่าคนทั้ง 4 มีข้อต่อรองคือจะทำหน้าที่แกนนำร่วมรบก็ต่อเมื่อสนธิละทิ้งจากแนวทางการถวายคืนพระราชอำนาจสู่แนวทางปฏิรูปการเมืองผ่านรัฐธรรมนูญเท่านั้น และนั่นคือที่มาของจุดเริ่มต้นการสู้ของพันธมิตรเพื่อประชาชนและประชาธิปไตยหรือในชื่อภาษาอังกฤษว่าPeople Alliance for Democracy (PAD) เมื่อต้นปี 2549 เป็นต้นมา !!
(อ่านต่อตอนหน้า… เกมแห่งการยื้ออำนาจ)

ปฏิวัติสันติ

 
สมัคร ยกเลิก
 
 
Revolutionary Press Agency
Online Journal and News Agency for Peace  :  วารสารและข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
Copyright © 2024 www.rpathailand.com All Rights Reserved.
ทำเว็บ  ออกแบบเว็บ  Web Design  เว็บสำเร็จรูป  เว็บไซต์สำเร็จรูป