โดย ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
เผยแพร่ครั้งแรก ๒๓ ต.ค.๒๕๓๗
การต่อสู้แบบอหิงสา
ตามหลักพระพุทธศาสนา
อหิงสา ปรโม ธัมโม : อหิงสาเป็นธรรมอันยิ่ง" |
อหิงสา หมายถึง การต่อสู้แบบไม่เบียดเบียน ไม่รุนแรงทำร้ายผู้อื่น เป็นการต่อสู้อันอยู่บนพื้นฐานแห่งความรักและความเมตตาในเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลกทั้งปวง การต่อสู้โดยทั่วไปมี 2 แนวทาง คือ
1. แนวทางรุนแรง
2. แนวทางสันติ
การต่อสู้แนวทางรุนแรง คือ การฆ่าฟัน ทำสงคราม ซึ่งทำความสูญเสียทั้งแก่ผู้ต่อสู้และผู้ต่อต้านอย่างถึงที่สุดการต่อสู้แนวทางรุนแรงนั้นไม่มีผู้ชนะ มีแต่ผู้แพ้และผู้สูญเสียทุกฝ่ายเท่านั้น เป็นวิธีการต่อสู้ของสัตว์ที่มิใช่มนุษย์ ที่มีใจสูงส่งดีงาม
การต่อสู้แนวทางสันติ หรือแบบอหิงสานั้น เป็นการต่อสู้ที่มีพลังอำนาจสูงสุด เป็นการต่อสู้ที่ปราศจากอาวุธ ความกลัว ความโกรธ ความโลภ และความหลงอันเป็นกิเลสเป็นการต่อสู้ของปราชญ์ บัณฑิต ผู้รู้โดยแท้ ซึ่งศาสดาทั้งหลายของโลกได้ยึดถือต่อสู้เพื่อพิทักษ์ปกป้องมนุษยชาติมาแล้วในอดีต อหิงสา มี 2 แบบ คือ
1. อหิงสาธรรมดา (อหิงสาฮินดู)
2. อหิงสาชั้นสูงสุด (อหิงสาพุทธ)
อหิงสาธรรมดา เป็นอหิงสาที่เกิดจากสภาวจิตใจที่ยังไม่สามารถขจัดความโกรธ ความโลภ และความหลง อันเป็นกิเลสออกไปได้ด้วยตนเอง แต่อาจอาศัยการยึดมั่นในพระผู้เป็นเจ้าต่าง ๆ หรือการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า เช่น มหาตมะคานธี ในศาสนาฮินดู เมื่อเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ความกลัว ความโกรธ ความหลง ความโลภจะเบาบาง ซึ่งเรียกในทางศาสนาว่า อัตตา เบาบาง คือ ต้องอาศัยพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งต่าง ๆ เป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยว อหิงสาธรรมดา เป็น อหิงสาบนพื้นฐานแห่งอัตตา เพราะยังไม่สมารถขจัดอัตตาตัวตนออกไปได้โดยสิ้นเชิง เพียงแต่ยึดมั่นในพระเจ้าและศาสดาเท่านั้น พระผู้เป็นเจ้าหรือศาสดาก็คืออัตตาชนิดหนึ่ง นั่นเอง
อหิงสาขั้นสูงสุด เป็นอหิงสาที่เกิดจากสภาวจิตใจที่สามารถขจัดความโกรธ ความกลัว ความโลภ ความหลงอันเป็นกิเลสออกไปได้แล้วด้วยตนเอง (พุทธะ : ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ไม่ต้องอาศัยหรือยึดมั่นเอาพระผู้เป็นเจ้าหรือศาสดาเป็นที่พึ่ง แต่ยึดและเข้าถึงธรรมะเป็นที่พึ่งหรือธรรมาธิปไตยนั่นเอง โดยรู้แจ้งว่าเราเกิดมาไม่มีอะไร เป็นธรรมชาติต้องแตกดับสลายไปตามสภาพไม่เที่ยงแท้ ไม่จีรัง แก่ เจ็บ ตายไป เมื่อถึงกาลเวลา การฝึกจิตใจให้เข้าถึงสภาวจิตใจของอหิงสาขั้นสูงสุดนั้น จะสามารถทำได้และตรวจสอบรู้ได้ด้วยหลัก 4 ประการ คือ
1. จาโค ละความเห็นแก่ตัวออกทิ้งไป ไม่เห็นแก่ตัวเราและของเรา
2. ปฏินิสสัคโค ไม่มีอุปสรรค ความติดขัด ความขัดข้องในจิตใจ
3. มุตโต หลุดพ้นจากความกลัว ความโกรธ ความโลภ และความหลง
4. อนาลโย ไม่อาลัย ต่อทุกสิ่งแม้ชีวิตของตนเอง
เมื่อสามารถทำจิตใจฝึกจิตใจให้ผ่านทั้ง 4 ประการได้แล้ว ก็จะเข้าถึงอหิงสาขั้นสูงสุดได้ อันเป็นพลังอำนาจสูงสุดเหนือกว่าพลังอำนาจทั้งปวง เป็นพลังอหิงสา (Power of Non-Violence) ซึ่งศาสดาต่าง ๆ ได้ใช้ชนะมาแล้วในอดีต และมหาตมะ คานธี ได้นำออกมาใช้อีกครั้งในการกอบกู้เอกราชของประเทศอินเดียในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (Modern History) แต่คานธี ได้นำเอาอหิงสาธรรมดาหรืออหิงสาแบบอัตตามาใช้เท่านั้น ยังไม่ใช่อหิงสาสูงสุด
กฎของการต่อสู้แบบอหิงสา คือ จิตใจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความรักและความเมตตาเพื่อนมนุษย์ ไม่มีความเกลียดชัง ความโกรธ ความแค้นอาฆาต คู่ต่อสู้หรือศัตรูของนักสู้อหิงสาทั้งหลายคือ ความไม่ถูกต้อง ความไม่เป็นธรรมต่าง ๆ มิใช่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองอย่างเด็ดขาด ซึ่งโดยปกติทางการเมืองและทางสังคมจะเป็นระบอบการปกครอง ระบบสังคม กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ มิใช่รัฐบาล คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน ดังนั้น คู่ต่อสู้หรือศัตรูของนักสู้อหิงสาไทยจึงมิใช่คนด้วยกันเอง แน่นอนเหลือเกินว่าคนหรือคณะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน ย่อมจะต้องรักษาและปฏิบัติตามระบอบการปกครองปัจจุบัน ระบบสังคม ปัจจุบัน กฎหมายปัจจุบัน ระเบียบข้อบังคับปัจจุบันนั้น
ดังนั้นนักสู้อหิงสาจึงหลีกไม่พ้นการถูกบังคับให้ต่อสู้กับบุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวต่าง ๆ นั้นด้วยแม้เราจะปฏิเสธก็ตาม ดังนั้น นักสู้อหิงสาทั้งหลายจะต้องมีความอดทนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มีความรักและความเมตตาในเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีความรักและความเมตตาต่อผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูของเราและผู้ที่เกลียดชังเราให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ เมื่อถึงเวลาการต่อสู้จะเกิดการตอบโต้ด้วยความรุนแรง อันมีความโกรธความเกลียดชังเป็นอารมณ์ จะต้องมีการฆ่าฟันทำร้ายกันเกิดขึ้น นักสู้อหิงสาทุกคนจะไม่กระทำการเบียดเบียน ทำร้ายผู้อื่นอย่างเด็ดขาด แต่กลับจะยอมรับความเจ็บปวด ความทุกข์มาไว้ที่เราฝ่ายเดียวอย่างเต็มใจและยินดียิ่ง แต่ต้องรู้สิ่งเหล่านั้นด้วยปัญญาอันชอบ
นักสู้อหิงสาทั้งหลาย จะมีจุดประสงค์อันเดียวกันคือ ต่อสู้อย่างไม่ใช้อาวุธ ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นอย่างเด็ดขาดเพื่อความสันติสุขของทุกคนในสังคม นักสู้อหิงสาจะมีสภาวจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเมตตาอย่างไม่ยกเว้นต่อผู้ใด มีสภาวจิตใจที่ปราศจากความกลัว เป็นพลังอหิงสาเข้าต่อสู้กับศัตรูของมนุษย์ เช่น ระบอบการปกครอง ระบบสังคม กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับที่ไม่ถูกต้อง ความคิดผิด ๆ ทั้งที่เป็นความคิดธรรมดาและที่เป็นระบบ เช่น ลัทธิอันเบียดเบียนทำร้ายมนุษย์ทั้งร่างกาย และจิตใจ การยอมรับความเจ็บปวด ความทุกข์ยากหิวโหยทรมาน การกระทำอันโหดร้ายของศัตรู อีกทั้งการยอมสละชีวิต เพื่อให้เกิดผลแห่งความสันติสุขแก่มวลมนุษยชาติในสังคม เป็นสิ่งที่นักสู้อหิงสาจะต้องกระทำและยอมเสียสละ มิฉะนั้น จะเกิดความสูญเสียแก่ส่วนรวมอย่างประมาณมิได้ นักสู้อหิงสาจงปฏิบัติ
1. ยอมรับความเจ็บปวด และความทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจากทุกฝ่ายด้วยปัญญาอันชอบ และจากการกระทำพลีกรรมปฏิบัติอหิงสาธรรมดาต่อตนเองจนถึงสละชีวิต แต่อหิงสาพุทธจะต่อสู้ด้วยปัญญาอันชอบเป็นสำคัญ
2. ให้ความรักและความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และผู้ที่เกลียดชังอันเป็นศัตรูเรา
3. ปฏิบัติภารกิจอย่างไม่ท้อถอย ไม่ลดละ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอดทนไม่มีที่สิ้นสุด แม้จะผิดหวังล้มเหลวกี่ครั้ง กี่หนก็ตาม เดินต่อไป สู้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
4. ไม่กลัว (Fearlessness) ต่อสิ่งทั้งปวง ความตาย คุกตะราง ความเจ็บปวด ทรมาน เป็นเพียงสิ่งพิสูจน์ทดสอบและรับรองความเป็นนักสู้อหิงสาอันแท้จริงของเรา ปัจจุบันนี้หาไม่มีแล้วนักสู้อหิงสาที่แท้จริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งอหิงสาพุทธอันเกิดจากสัมมาทิฎฐิ เราจะต้องสร้างขึ้นมาให้ได้
5. เสียสละ คือลักษณะสำคัญอหิงสา เสียสละเวลา ทรัพย์สิน อวัยวะร่างกาย ชีวิต เพื่อความสันติสุขของ มนุษย์ในสังคม ตามหลัก พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เมื่อระลึกถึงคุณธรรมพึงสละแม้ทรัพย์ แม้อวัยวะ แม้ชีวิต ทั้งมวล แต่อหิงสาพุทธนั้นจะต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นศาสดาต่างๆทุกพระองค์ได้พิสูจน์จิตใจอันเป็นสุดยอดอหิงสามาแล้ว ในอดีตมหาตมะคานธี ได้ใช้ อหิงสาฮินดูมาพิสูจน์พลังอำนาจในการกอบกูเอกราชอินเดียและปัจจุบันเราจะเป็นกองทัพอหิงสาพุทธพิสูจน์ และสอนโลกทั้งโลกให้รู้จักพลังอำนาจแห่งอหิงสาพุทธ เราจะร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ด้วยการต่อสู้ของกองทัพอหิงสาพุทธ โดยการช่วยให้คนไทยทุกคนพบกับความสันติสุข ด้วยการนำเอาอำนาจอธิปไตยอันเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศอันเป็นธรรมมาธิปไตย มามอบให้แด่ปวงชนชาวไทยให้จงได้
อหิงสาพุทธ
ตุลาคม 2537
หมายเหตุ การกรีดเลือด การเผาตัว การทำร้ายตัวเองต่าง ๆ ไม่ใช่แนวทางอหิงสาพุทธ
และข้อความบางตอนในแถลงการณ์ของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ เรื่อง บทเรียนการต่อสู้อย่างสันติวิธี : การรุกรานของทุนนิยมโลก ในกรณีการต่อต้านการวางท่อก๊าซจากพม่า - ราชบุรี ลงวันที่ 7 มีนาคม 2542 ดังต่อไปนี้
3
การต่อสู้อย่างสันติวิธี
สันติเป็นวิธีการ (Means) วิธีการเป็นสิ่งที่จะนำไปสู่ความมุ่งหมาย วิธีการจึงรับใช้ความมุ่งหมาย ถ้าเราพูดเพียงแต่วิธีการไม่พูดถึงความมุ่งหมายก็ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แม้วิธีการจะเป็นสันติแต่ความมุ่งหมายไม่ถูกต้องก็เป็นโทษมีผลร้ายสันติวิธีก็แก้ปัญหาไม่ได้ต้องประสบความล้มเหลว ฉะนั้น เราจะต้องพิจารณาทั้งวิธีการ และความมุ่งหมายอย่างสัมพันธ์กัน ความมุ่งหมาย (END) เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ถ้าตั้งความมุ่งหมายผิด แม้จะใช้วิธีการถูก ก็ไร้ความหมายหรือแม้แต่จะมีวิธีการที่ถูกต้องมากมายสักปานใด หรือสันติเพียงใดก็ตาม ถ้าความมุ่งหมายผิดก็ต้องประสบกับความปราชัยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง วิธีการและความมุ่งหมายเป็นเงื่อนไขซึ่งกันและกัน ในการต่อสู้นั้นความมุ่งหมายคือยุทธศาสตร์ วิธีการคือยุทธวิธี
ความมุ่งหมายหรือยุทธศาสตร์ ที่เรากำหนดขึ้นนั้นถูกต้องหรือไม่ เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหรือแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และเป็นการแก้ถูกปัญหาหรือไม่ ในการแก้ปัญหานั้นจะต้องพิจารณาปัญหา เหตุของปัญหา การแก้ปัญหา และวิธีแก้ปัญหาเป็นลำดับเช่น ทุกข์ สมุห์ทัย นิโรธ มรรค ดังเช่น การประยุกต์อริยสัจ 4 เข้ากับการแก้ปัญหาของประเทศไทย คือ..
ทุกข์ คือ ความยากจน และปัญหาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
สมุห์ทัย คือ ระบอบเผด็จการรัฐสภา
นิโรธ คือ ระบอบประชาธิปไตย
มรรค คือ สร้างประชาธิปไตย
ความมุ่งหมาย คือ สร้างประชาธิปไตย
วิธีการ คือ สันติวิธี อหิงสาฮินดู อหิงสาพุทธ
การต่อสู้อย่างสันติวิธีในประเทศไทยกับต่างประเทศ ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง เพราะในประเทศไทยมีปัญหาพื้นฐานของชาติที่ยังแก้ไม่ตกมานานแล้วนับ 100 ปีเศษ ปัญหาอื่นๆ ของประเทศ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม ปัญหาวัฒนธรรม และปัญหาสิ่งแวดล้อมขึ้นต่อปัญหาพื้นฐานที่สุดคือปัญหาประชาธิปไตย ถ้าแก้ปัญหาประชาธิปไตยสำเร็จจะเป็นเงื่อนไขให้แก่การแก้ปัญหาอื่นๆ แก้ไขได้สำเร็จต่อไป ดังนั้น การต่อสู้อย่างสันติในประเทศไทย คือ ต่อสู้อย่างสันติเพื่อสร้างประชาธิปไตย หรือต่อสู้อย่างสันติเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานของชาติ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่โตที่สุดของประเทศชาติ
แต่การต่อสู้อย่างสันติในต่างประเทศนั้น เป็นการต่อสู้อย่างสันติเพื่อแก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เพราะปัญหาใหญ่หรือปัญหาพื้นฐานของประเทศนั้นแก้ตกมานับ 100-200 ปีแล้ว คือ ประเทศเขาสร้างประชาธิปไตยแล้วเสร็จมาแล้ว นักต่อสู้อย่างสันติวิธีในประเทศเหล่านั้นจึงไม่มีเงื่อนไขได้ต่อสู้อย่างสันติในปัญหาใหญ่โตอันเป็นปัญหาพื้นฐานของชาติเหมือนดังบรรพบุรุษของเขาในอดีตอีกต่อไปแล้ว นักต่อสู้อย่างสันติของต่างประเทศจึงมีโอกาสแค่ต่อสู้เพื่อแก้ไขปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ดังที่เห็นอยู่เท่านั้น เช่น ต่อสู้อย่างสันติวิธีเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
วิธีการ เมื่อเรารู้ความมุ่งหมายที่แท้จริงแล้วว่าจะต่อสู้เพื่อแก้ปัญหาอะไร เช่น มหาตมะคานธีต่อสู้อย่างสันติเพื่อกอบกู้เอกราชอธิปไตยของประเทศอินเดีย คนไทยและองค์การต่าง ๆ ต่อสู้อย่างสันติวิธีเพื่อสร้างประชาธิปไตยของประเทศไทย คนอเมริกันต่อสู้อย่างสันติเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เราจึงมาพิจารณาวิธีการต่อสู้อย่างสันติว่ามีกี่ชนิด
การต่อสู้ตามแนวทางสันติ มี 4 แบบคือ
- สันติแบบธรรมดา
- สันติแบบดุเดือด
- สันติแบบอหิงสาฮินดู
- สันติแบบอหิงสาพุทธ
สันติแบบธรรมดา คือ การชุมนุม การเดินขบวน การปราศรัย การยื่นหนังสือ การหยุดงานแบบธรรมดาฯลฯแต่ไม่มีความมุ่งหมายเพื่อบรรลุโมกษธรรมทางศาสนา (จิตใจ)
สันติแบบดุเดือด คือ การปลุกม็อบ การกรีดเลือด การทำร้ายตนเองอย่างรุนแรง เช่น ปาดคอ ตัดนิ้วตัดแขนตัดขา เผาตัว นอนขวางถนนให้รถเหยียบ เป็นต้น แต่ไม่มีความมุ่งหมายเพื่อบรรลุโมกษธรรมทางศาสนา
สันติแบบอหิงสาฮินดู คือ เป็นการนำเอาวิธี ปฏิบัติศาสนธรรมของศาสนาฮินดู เช่น อดอาหาร ทรมานตนเองให้เข้าถึงสิ่งสูงสุด เช่น พระเจ้าอาตมันหรือปรมาตมัน มาประยุกต์ใช้กับการต่อสู้ทางการเมือง เช่น เพื่อเอกราช เพื่อประชาธิปไตย อันเป็นการทำเพื่อความสุขและประโยชน์ของผู้อื่นจำนวนมหาศาล ไม่เบียดเบียนผู้อื่น แต่เบียดเบียนตนเอง เป็นสันติในศาสนาฮินดู ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาอัตตา ดังนั้นจึงเป็น อหิงสาแบบอัตตาหรืออหิงสาฮินดู จะเป็นอหิงสาฮินดูต้องถือศาสนาฮินดูและดำเนินไปตามแบบอย่างนั้น เพื่อบรรลุอาตมันหรือ ปรมาตมัน
สันติแบบอหิงสาพุทธ คือ เป็นการนำเอามรรค 8 และวิธีปฏิบัติธรรมทั้งหลายของศาสนาพุทธมาประยุกต์ใช้กับการต่อสู้ทางการเมือง เช่น กู้เอกราช สร้างประชาธิปไตย เป็นการนำเอาการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยมาเป็นเงื่อนไขในการปฏิบัติธรรมเผากิเลส ละตัณหาของตนเอง เพื่อบรรลุสิ่งสูงสุดคือนิพพาน จึงเป็นสันติวิธีตามหลักพุทธอหิงสาธรรม คือไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เพื่อยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม เป็นสันติวิธีในศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอนัตตา ดังนั้นจึงเป็น อหิงสาแบบอนัตตาหรืออหิงสาพุทธ จะเป็นอหิงสาพุทธต้องถือศาสนาพุทธ และดำเนินตามแบบของพุทธศาสนาเพื่อบรรลุโมกษธรรมเฉพาะตน และตามอุดมการของ ศาสนาพุทธ คือ เพื่อประโยชน์แห่งมหาชน เพื่อความสุขแห่งมหาชน และเพื่ออนุเคราะห์โลก ท่านพุทธทาสภิกขุยืนยันไว้ว่า อหิงสาพุทธคืออรหันต์ เมื่อปี พ.ศ. 2532 ณ วัดสวนโมกข์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ดังนั้น การหยุดงานทั่วไป เพื่อยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา สร้างระบอบประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน (ปวงชน) และมีความมุ่งหมายทางศาสนา ถือเป็นมาตรการปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุโมกษธรรม ก็ถือว่าเป็น อหิงสาพุทธ
4. ฉะนั้น การต่อสู้ที่เป็นอหิงสาพุทธที่แท้จริง คือ การรู้อริยสัจสี่และปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 คือ รู้ว่าปัญหา รฟ. ราชบุรี (ทุกข์) เกิดจากระบอบเผด็จการรัฐสภา (สมุห์ทัย) รู้ว่าแก้ปัญหาด้วยระบอบประชาธิปไตย (นิโรธ) รู้ว่าการสร้างประชาธิปไตยเป็นวิธีแก้ปัญหา (มรรค) การรู้เช่นนี้เรียกว่า มีสัมมาทิฎฐิหรือมีความเห็นถูก ยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภาคือ การขจัดความเบียดเบียนให้แก่มหาชน และการสร้างประชาธิปไตยคือการยังประโยชน์สุขให้แก่ปวงชนโดยต่อสู้ผลักดันให้เป็นไปดังกล่าวนี้ด้วยวิธีตามหลักพุทธอหิงสาธรรม(อหิงสาพุทธ) คือ การหยุดงานทั่วไปที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น นั่นคือหยุดงานทั่วไปด้วยความสมัครใจและสัมมาทิฎฐิอย่างกว้างขวางทั่วไป การขจัดความกลัวในการหยุดงานทั่วไปด้วยจิตใจที่ไม่กลัวที่เกิดจากการเห็นอริยสัจ 4 ด้วยปัญญาอันชอบคือ การบรรลุโมกษธรรมนั่นเอง และขจัดอหังการ มมังการในจิตใจต่อการหยุดงานทั่วไป จึงเป็นอหิงสาพุทธที่ถูกต้องทั้งวิธีการและความมุ่งหมาย
5. ทำไมจะต้องใช้อหิงสาพุทธเข้าต่อสู้จึงจะประสบชัยชนะสามารถแก้ปัญหาตกไปได้ ใช้อหิงสาอื่นๆ หรือใช้วิธีรุนแรงไม่ได้หรือ ? สมัชชากรรมกรการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ขอชี้แจงว่า
ถ้าไม่ใช้อหิงสาพุทธกลับไปใช้วิธีรุนแรงหรืออหิงสาฮินดูเบียดเบียนตนเองแบบอัตตา เช่น กรีดเลือด ทั้งผู้ปกครอง(ผู้บริหาร) และปวงชนชาวไทยโดยเฉพาะชาว กฟผ. จะไม่เข้าร่วมด้วย จะโดดเดี่ยวจากประชาชน ชาว กฟผ. และผู้ปกครองประเทศ(ผู้บริหาร กฟผ.) เมื่อโดดเดี่ยวเพราะใช้วิธีที่ไม่สอดคล้อง คนเกลียดชัง ก็จะทำลายตนเองไร้พลังพ่ายแพ้ไปในที่สุด ต้องประยุกต์ใช้วิธีการต่อสู้ที่สอดคล้องถูกต้องตรงกับลักษณะพิเศษของชนชาวไทย คนจึงจะเข้าร่วมต่อสู้ด้วย คือ ชนชาติไทยมีลักษณะพิเศษ 3 ประการ คือ รักความเป็นไท (Love of Independence) อหิงสา หรือไม่เบียดเบียน (Non violent) รู้จักประสานประโยชน์ (Power of Assimilation) ที่ศาสตราจารย์ ยอร์จ เซเดย์ และกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ค้นพบและยืนยันไว้อย่างถูกต้องในอดีด ตัวอย่างทัศนะของประชาชนต่อวิธีที่ไม่ใช้อหิงสาพุทธ เช่น กลัวม็อบ เกลียดความรุนแรง หวาดเสียวต่อการกรีดเลือดทำร้ายตัวเอง ไม่ชอบการอดข้าวที่เบียดเบียนตนเอง ไม่ชอบการประท้วงวุ่นวาย เป็นต้น นั่นคือ วิธีการใดตรงข้ามกับพุทธศาสนาคนไทยไม่ยอมรับ ถ้าเป็นวิธีที่ตรงกับพระพุทธศาสนาคนไทยยอมรับและจะร่วมมือด้วย
คนไทยถือกันว่า ต้องใช้วิธีการที่ชอบธรรมเพื่อบรรลุความมุ่งหมายที่ชอบธรรม ไม่ยึดถือแบบมิจฉาทฤษฎีของแม็คเคียวเวลลี่ว่า ความมุ่งหมายให้ความชอบธรรมแก่วิธีการ (End justified the mean) หรือทฤษฎีตะวันตกว่า วิธีการให้ความถูกต้องแก่ความมุ่งหมาย (Mean Rectified The End) หลักธรรมแห่งพุทธศาสนาในอริยสัจ 4 พอใจให้คนไทยแก้ปัญหา(ทุกข์)ตามมรรคมีองค์ ๘ หรือ อริยมรรค อันเป็นวิธีการต่อสู้แก้ปัญหาอันประเสริฐสูงส่งอันเป็นอหิงสาพุทธ นั่นเอง
การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ นอกจากจะต้องสอดคล้องกับจิตใจคนไทยที่มีหลักธรรมแห่งศาสนาพุทธประจำใจอยู่แล้ว ยังจะต้องเป็นวิธีการที่ไม่ให้กิเลส เช่น โลภะ โทสะ โมหะ กำเริบขึ้นมา (เป็นอหังการ มมังการ) ยังพึงใจอย่างยิ่งต่อวิธีการที่ลดละกิเลสตัณหาอุปาทาน ฉะนั้น การต่อสู้แบบอหิงสาพุทธไม่ใช่เป็นเพียงวิธีการที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ตกไปเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ปัญหาจิตใจภายในไปพร้อมกันอีกด้วย ฉะนั้น อหิงสาพุทธนอกจากจะแก้ปัญหาให้เกิดประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมแล้ว ยังแก้ปัญหาทั้งภายนอกและภายในจิตใจไปพร้อมกันอีกด้วย จึงเป็นการแก้ปัญหาได้ครบถ้วนรอบด้านสมบูรณ์บริบูรณ์อย่างแท้จริง
|