รายรายงานพิเศษครั้งนี้พาท่านผู้อ่านไปร่วมพิธีกรรมครั้งสำคัญ การวางศิลาฤกษ์สร้างกุฏิสงฆ์นานาชาติ ที่วัดตะล่อม ในซอยจรัลสนิทวงศ์ 13 ธนบุรี พิธีวางศิลาฤกษ์ครั้งนี้กำหนดขึ้นในเช้าของวันที่ 23 มิถุนายน 2552 ที่ลานธรรมวัดตะล่อมและทำการทอดผ้าป่า "กองทุนสร้างกุฏิสงฆ์นานาชาติพระพรหมวชิรญาณ" ซึ่งเป็นอาคาร 5 ชั้นเพื่อเป็นที่พักแก่พระสงฆ์นานาชาติ 8 ประเทศ คือพม่า ลาว กัมพูชา บังคลาเทศ เวียดนาม อินเดีย เนปาล และไทย เนื่องจากวัดตะล่อมกำลังประสบปัญหากุฏิสงฆ์มีไม่พอเพียง พระสงฆ์ที่มาพำนักอยู่จำต้องอยู่กันอย่างแออัด มาเป็นเวลาหลายปี กุฏิมีจำนวนไม่เพียงพอเนื่องจากมีพระสงฆ์จำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
พระมหาบุญถึง ชุตินฺธโรเจ้าอาวาสวัดคนปัจจุบันจึงมีภารกิจครั้งสำคัญในการเร่งสร้างกุฏิวัดให้แก่พระสงฆ์นานาชาติให้สำเร็จตามนโยบายการทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางพุทธโลก ดังการยกย่องของชาวพุทธทั่วโลก พระมหาบุญถึงกล่าวว่าพระสงฆ์ส่วนใหญ่ที่เดินทางมาศึกษาปริยัติธรรมในประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากประเทศยากจน ต้องหาทุนมาเรียนเองและจะทำหน้าที่เผยแผ่พระศาสนาต่อไปในอนาคต พระสงฆ์นานาชาติดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนพระธรรมทูตที่เข้ามาเรียนรู้วิถีชีวิตของพระสงฆ์ไทยที่อาจมีวิถีแตกต่างหรือคล้ายคลึงกับพระสงฆ์ในประเทศอื่นที่ถือนิกายเถรวาทเหมือนกัน และมีวิถีปฏิบัติเช่นเดียวกับพระสงฆ์ไทยทุกประการ พระทุกรูปต้องอาศัยการเดินทางจากวัดไปเรียนที่มหามกุฎราชวิทยาลัยและมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระสงฆ์หลายรูปได้มีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมไทยไปด้วย
ภารกิจวัดตะล่อม
วัดตะล่อมได้กลายเป็นแหล่งหล่อหลอมวัฒนธรรมความเสมอภาคและเสรีภาพของมนุษย์ตามอุดมการณ์ของพุทธศาสนาด้วยการจัดตั้งสถาบันธรรมะประชาธิปไตยขึ้นเพื่อทำการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบไทยโดยมีพระมหาบุญถึงเป็นผู้อำนวยการสถาบัน ในจุดเริ่มต้นวัดประสบปัญหาจากความไม่เข้าใจในแนวทางในเบื้องต้น ทิ้งช่วงไม่ถึงหนึ่งปีเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย การนำของพระมหาบุญถึงเริ่มปรากฎเป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้น วัดตะล่อมยังคงเป็นที่รู้จักกันดีต่อชาวบ้านในชุมชนบางแวกและยิ่งเป็นที่สนใจยิ่งขึ้นเมื่อพระสงฆ์นานาชาติออกบิณฑบาตรยามเช้าและเข้าร่วมกิจกรรมการเดินธรรมยาตราหลายต่อหลายครั้งจนปรากฎเป็นข่าวไปทั่ว อย่างไรก็ดีมีผู้กังขาและต้องการคำอธิบายว่าทำไมวัดตะล่อมจึงทำในสิ่งที่แตกต่างจากวัดอื่นทั่วไป .......
เมื่อหลายสิบปีก่อน
มีผู้รู้และปราชญ์ราชบัณฑิตกลุ่มหนึ่งได้เข้าร่วมกันจัดตั้งแนวทาง การประสานโมกษธรรมกับการเมือง ขึ้นที่วัดสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฏร์ธานีร่วมกับท่านพุทธทาสอินทปัญโญ พระภิกษุสงฆ์องค์สำคัญแห่งยุคสมัย โดยเชื่อมั่นว่าธรรมะของพระพุทธองค์จะสามารถใช้แก้ปัญหาประเทศชาติ ปัญหามนุษยชาติและปัญหาโลกได้
เมืองไทยกับโลก เป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกกำหนดขึ้นมานานแล้วซึ่งนับเป็นการประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมืองแห่งแรกในโลกที่ประเทศไทย นั่นคือ การสร้างสันติภาพโลกถาวรตามแนวทางพุทธศาสนา อันเป็นอุดมการณ์ของสวนโมกข์ การริเริ่มแนวคิดใหม่แบบสวนโมกข์นี้มุ่งหวังให้พระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งพิงของชาวโลก สามารถนำพระพุทธศาสนาไปแก้ปัญหาการเมืองการปกครอง สามารถนำหลักพุทธธรรมไปอธิบายความขัดแย้งของสังคมทุกระดับ จากสังคมท้องถิ่นพื้นบ้าน สู่ปัญหาประเทศและปัญหาสังคมโลก เพราะเชื่อมั่นว่าพุทธศาสนาคือคำตอบของมนุษยชาติที่สมบูรณ์ที่สุด
ปราชญ์ราชบัณฑิตและผู้รู้กลุ่มดังกล่าวในสมัยนั้นคือ ท่านเจ้าคุณลัดพลีธรรมประคัลน์ อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ได้เสนอให้นำหลักอริยสัจสี่ในการวิเคราะห์เหตุแห่งปัญหาของประเทศไทยและของโลก และนำสู่สมุหทัยหาเหตุของปัญหาเพื่อแก้ไขเหตุให้ถูกต้อง ด้วยเล็งเห็นภัยต่างๆที่มาเยือนสังคมมนุษย์
ภัยร้ายแรงทั้งหายที่ทำให้มนุษย์เกิดการแบ่งแยกสังคมออกจากกัน เกิดการแย่งชิงทรัพยากรเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศของตน ในทางเศรษฐกิจเกิดทฤษฎีทุนนิยมและการลงทุนข้ามชาติอย่างมโหฬาร ในทางทหารเกิดการพัฒนาแสนยานุภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์และคุกคามซึ่งกันและกัน ความไม่ไว้วางใจกัน ความไม่เป็นมิตรกัน ไม่สามารถซ่อนแอบอยู่ภายใต้องค์กรจัดตั้งระดับโลกได้เลย ปรากฎการณ์การคุกคาม และวางหมากยุทธศาสตร์เป็นไปอย่างต่อเนื่องภายใต้วาทะการทูตแบบสันติวิธี เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากปัญหาความเห็นผิดทั้งสิ้น
การประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมือง คือการยึดตามรอยบาทพระศาสดาด้วยการนำหลักการสูงสุดของพระพุทธศาสนาซึ่งเป็น"อุดมธรรม" แห่งภาวะพุทธะ สู่ชนชั้นปกครอง เฉกเช่นที่พระพุทธเจ้าเคยทำสำเร็จมาก่อนกับพระเจ้าพิมพิสารเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีที่ผ่านมาก พระพุทธองค์ทรงเลือกโปรดชนชั้นปกครองก่อนและเมื่อชนชั้นปกครองรับสิ่งที่ถูกต้องไป การเปลี่ยนแปลงในระดับล่างอันเป็นกลไกของสังคมก็จะเกิดขึ้นตามมา พระพุทธเจ้าทรงใช้พระปรีชาสามารถในการใช้หลักธรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมอินเดียโบราณสู่สังคมแห่งภราดรภาพ เสมอภาค อันเกิดจากสันติภาพในจิตใจ ด้วยหลักธรรมคำสอนอันสูงส่ง ทรงท้าทายสังคมชนชั้นวรรณะ (Caste) ที่มีการแบ่งชนชั้นอย่างรุนแรง ในสังคมพราหมณ์อินเดียโบราณ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร จัณฑาล สู่สังคมใหม่คือสังคมพุทธโดยมีสังคมของพระสงฆ์เป็นสังคมอุดมคติต้นแบบ อย่างปราศจากการนองเลือด ซึ่งนับเป็นการนำปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสันติวิธี หรือที่เรียกว่า "การปฏิวัติสันติ"
จากสวนโมกข์มาสู่วัดตะล่อมได้อย่างไร
ประเทศไทยผ่านวิกฤตทางการเมืองการปกครองหลายครั้ง ในสมัยท่านพุทธทาสเกิดปรากฏการณ์การเข่นฆ่านักศึกษา เกิดภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เข้าต่อสู้กับเผด็จการทหาร ในยุคปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญภัยร้ายแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือภัยจากมิจฉาทิฎฐิของเผด็จการรัฐสภาในรูปแบบการเลือกตั้งและภัยมืดจากลัทธิทุนนิยมข้ามชาติที่กำลังกลืนกินจิตวิญญาณคนไทยจนสูญสิ้นเอกราชทางความคิด สู่ภาวะ"วิกฤตที่สุดในโลก"
ศิษย์อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรคนสำคัญที่ทำหน้าที่เชื่อมร้อยแนวทาง ประสานโมกษธรรมกับการเมือง มายังวัดตะล่อมคืออาจารย์สมาน ศรีงามที่ได้ทำหน้าที่เชื่อมร้อยแนวทางผ่านพระสงฆ์องค์สำคัญที่ตกเป็นข่าวต่อเนื่องที่สุดรูปหนึ่งระหว่างมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดคือ พระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร เจ้าอาวาสวัดตะล่อมหรือประธานรัฐสภาวนารามในปี 2550 พระมหาบุญถึง แม่ทัพแห่งกองทัพธรรมวัดตะล่อมนอกเหนือจากจะเป็นพระสงฆ์ที่เข้าใจแนวทาง
" ปฏิวัติสันติ" เป็นอย่างดีแล้ว ยังคงทำหน้าที่หลักด้วยการกำหนดนโยบายให้วัดตะล่อมเป็นศูนย์รวมสรรพวิทยาต่างๆของภูมิปัญญาชาวพุทธ และเพื่อทำหน้าที่กรุยทางให้ประเทศไทยได้เริ่มต้นบทบาทการเป็นศูนย์กลางพุทธโลกอย่างเต็มตัว
|