พระอาจารย์สุเทพ ชินวโร ปรากฏตัวท่ามกลางสายฝน ในวันที่ ฝนตกและรถติดอย่างหนักในกรุงเทพมหานคร จุดนัดสัมภาษณ์คือบริเวณชานหน้ากุฏิ วัดปรินายก ฝนตกรถติดทำให้การนัดอย่างเร่งด่วนครั้งนี้คลาดเคลื่อนผิดเวลา แต่เป็นการรอคอยที่คุ้มค่า เพราะว่าเป็นการสัมภาษณ์พิเศษฉบับปฐมฤกษ์ของสำนักสื่อปฏิวัติ และเป็นการสัมภาษณ์นักปฏิวัติที่ประกาศตัวชัดเจนแม้ยังอยู่ในเพศบรรพชิต
ปรกติแล้วไม่ค่อยเล่าประวัติให้ใครฟัง แต่เห็นว่านี่เป็นกรณีพิเศษ พระอาจารย์สุเทพกล่าวก่อนเริ่มต้นเล่าประวัติความเป็นมา
อาตมาเป็นนักปฏิวัติตลอดชีวิต พระอาจารย์สุเทพกล่าวทันทีที่เริ่มต้นเล่า
อาตมาเป็นประธานนักศึกษาในสมัยนั้นตั้งแต่ก่อนปี 14 ชื่อจริงคือสุเทพ ลัคนาวิเชียร เป็นคนอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ปี 14 ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ....เป็นประธานนักศึกษา เป็นผู้นำ พากันไปประท้วงที่บ้านจอมพลถนอม กิตติขจร ได้เข้าเจรจาต่อรองจนจอมพลถนอมรับปากยอมตามเงื่อนไขแต่วันต่อมากลับเปลี่ยนคำพูด
ในขณะนั้นพระอาจารย์สุเทพหรือนายสุเทพมีอายุ 21 ปี เรียนอยู่ปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีโอกาสในอนาคตทางการศึกษา เป็นเด็กนักเรียนเรียนดีในชั้นต้น แต่เหตุการณ์พลิกผันที่เขาถูกไล่ออก
มันไม่ใช่ธรรมดา เขาใช้นักศึกษาที่เคยเคลื่อนไหวด้วยกัน เป็นเพื่อนกันนี่แหละมาไล่เราออก มากันเป็นกลุ่มๆเลย มาขับออกจากมหาวิทยาลัย เพราะเราต่อต้านระบบ seniority มาก่อน ตอนนั้นเขาเริ่มป้ายสีให้แล้วว่าเราเป็นคอมมิวนิสต์
เหตุการณ์เริ่มบานปลายเมื่อนักศึกษากลุ่มหนึ่งออกมาชุมนุมประท้วงต่อเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้นำและเกิดการระดมเงินเรี่ยรายกันให้ผู้นำนักศึกษาที่ถูกไล่ออกไปเรียนต่อเมืองต่างประเทศแทน
ในช่วงจังหวะนั้นนั่นเองที่นายสุเทพก็ได้รับการติดต่อจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ของจริง
เป็นอาจารย์ใน มหาวิทยาลัยนี่แหละ ที่เมื่อเห็นเรามีปัญหาก็ยื่นมือเข้ามาช่วยชื่ออ.ผสม เพชรจำรัส เคยเป็นเยาวชนที่ไปรัสเซีย อาจารย์ก็ให้นามบัตรมาว่าจะมีคนมาติดต่อเราให้ไปลองคิดดู จริงๆอาจารย์เป็นมานานแล้วแต่ไม่กล้าเปิดตัว ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนิสิตมาแต่แรก
ตอนนั้นก็มีทางเลือกอยู่สองทางระหว่างการไปเรียนต่อเมืองนอกกับการเข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์ ถูกคนระดับจอมพลถนอมโกหกผิดคำพูดกับเรา แต่คนธรรมดาสามัญเขากลับมาช่วยเรา
การกระโจนเข้าสู่วิถีสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ของพระอาจารย์สุเทพมาจากการถูกกดดัน สภาพความเป็นคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้า และภาวะผู้นำที่มีอยู่ในตัวทำให้แนวร่วมคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยเปิดโอกาสให้เขาเต็มที่
เหตุการณ์ต่อจากนั้น ก็คือการเข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวทางความคิดของคอมมิวนิสต์ด้วยการเริ่มทำงานในโรงงานอัดน้ำมันพืช กลายเป็นนักเคลื่อนไหวเต็มตัว ได้เข้าร่วมประชุมกับนักศึกษาหัวก้าวหน้าจากหลายแห่ง ได้สัมพันธ์กับส.ศิวรักษ์ จากนั้นก็ไปทำงานหนังสือกับอนุช อาภาภิรมย์ เข้าร่วมกิจกรรมแบบพ้นสภาพการเป็นนักศึกษา ได้ทำงานทางความคิดเต็มตัว
ได้เปรียบก็ตรงที่เราได้ทำทั้งในส่วนที่เปิดและในส่วนที่ปิด เมื่อกลายเป็นนักเคลื่อนไหวเต็มตัว นายสุเทพก็ได้เขียนหนังสือ และเคลื่อนไหวขับไล่เผด็จการถนอม มีการประชุมกลุ่มเยาวชนจัดตั้งฝั่งซ้ายโดยเฉพาะในกลุ่มก้าวหน้า และได้รับการยอมรับเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ยังอยู่ในเมือง
สมัยก่อนมีองค์การสันนิบาตเยาวชนประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (สยช.) สันติบาลก็รู้ดีว่าเป็นเยาวชนคอมมิวนิสต์ ต่อมาก็กลายเป็น ยุวชนสยาม มีกลุ่มปริทรรศน์เสวนา ทำหนังสือชื่อชมรมคนรุ่นใหม่ออกมา
เหตุการณ์การเมืองภายในประเทศเพิ่มคุกกรุ่น จนกระทั่งเกิดกรณีทุ่งใหญ่นเรศวร ในวันที่ 20-21 มิ.ย. 2516 และบานปลายต่อจนกลายเป็นการรวมตัวกันของนักศึกษาเพื่อโค่นล้มเผด็จการทหาร ตุลาวิปโยคเกิดขึ้น การเข่นฆ่าเอาชีวิตนักศึกษาด้วยข้อกล่าวหากระทำการเป็นคอมมิวนิสต์
นายสุเทพก็เป็นหนึ่งในเยาวชนคนไทยที่ข้าป่าร่วมกับกองทัพปลดแอกมาก่อน ภายใต้ชื่อจัดตั้งใหม่ว่า สหายสมเดช เมื่ออยู่ในป่าสหายสมเดชทำหน้าที่ฝ่ายข่าวประจำอยู่ในสำนัก 61 ในป่าที่สุราษฎร์ธานี ก่อนจะย้ายไปทางเหนืออยู่ที่อำเภอเชียงคำ เข้าประเทศลาวและลงมาอยู่จังหวัดน่าน รวมเวลาเบ็ดเสร็จทั้งหมด 4 ปี ก่อนที่รัฐบาลจะปฏิบัตินโยบาย 66/23 เพื่อให้สมาชิกพคท.ออกจากป่ามาร่วมพัฒนาชาติ
เมื่อถามถึงจุดหักเหมาสู่การสู่เพศบรรพชิต ซึ่งเป็นจุดหักเหครั้งสำคัญที่สุดในฐานะนักปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์ที่เชื่อเรื่องการปฏิวัติทางชนชั้นและเป็นการปฏิวัติรุนแรงและตรงข้ามกับวิถีพุธในเพศบรรพชิตอย่างสิ้นเชิง
ตอนนั้นออกมาจากป่าในฐานะนักพัฒนาชาติไทย ต้องไปรายงานตัวกับสันติบาลเพื่อเข้าเรียนต่อหลังออกจากป่า แต่ความรู้สึกและประสบการณ์เรามันเกินตรงนั้นไปแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือเราเคยถูกไล่ออกมาก่อน เลยไม่ไปรายงานตัว เกิดทัศนะ challenge ท้าทายขึ้นมาต่อระบบการศึกษา เลยปฏิเสธการเข้าไปเรียนต่อ
ตอนเข้าไปอยู่ในป่า เราเป็นนักปฏิวัติอาชีพ ชีวิตความเป็นอยู่เรามันคล้ายพระ เรียบง่าย พูดโกหกไม่เป็น ไปเยี่ยมแม่ที่บ้านเกิด แม่อยากให้บวช ก็เลยบวชให้
ในช่วงนี้เองที่พระอาจารย์สุเทพตกผลึกอย่างใหญ่หลวงทางความคิดอีกขั้นหนึ่งและนับว่าเป็นจุดหักเหของชีวิต
นักปฏิวัติอย่างใหญ่หลวง
พอบวชแล้วเกิดความเห็นสองสามอย่าง คือถ้าไม่ได้บวชจะไม่รู้จักวัฒนธรรมไทยที่แท้จริง ทำให้เข้าใจว่าทำไมคนไทยยิ้มง่าย ไม่โกรธง่าย ไม่เดือดร้อนง่าย เข้าใจวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณ ต่างจากนักปฏิวัติในป่า
พระอาจารย์สุเทพในเวลานั้น คือสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ที่เพิ่งออกมาจากกองทัพแดงคอมมิวนิสต์
ที่มีประสบการณ์เห็นการฆ่าฟันกันระหว่างกองทัพไทยและกองทัพแดงคอมมิวนิสต์ การย้อนรอยในอดีตจึงเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
แต่ก่อนเราเป็นคนโง่ที่คิดคนละอย่าง จริงๆแล้วสิ่งมีชีวิตทุกอย่างต้องดับสูญหมดโดยไม่ต้องลงแรงฆ่า ยังไงๆมันก็ต้องตายอยู่แล้ว แล้วไปฆ่ากันตายทำไม เลยเห็นว่าที่ผ่านมามันเป็นความไม่ฉลาดที่ไปเปลืองสติปัญญาที่ไปเสียเวลาทำอย่างนั้น ก็มาทำในเรื่องประเทืองปัญญา ทำให้คนรู้แบบที่เรารู้เพิ่มขึ้น
บวชในพรรษาแรกก็เปลี่ยนในขั้นต้น พอบวชหลายปีเข้า เริ่มเห็นเพื่อนฝูงที่อยู่ทางโลกเขารวยกัน เราเป็นพระ ก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมา มองว่าโชคชะตาของเราตกต่ำ แต่จู่ๆระหว่างที่เดินอยู่ในกรุงเทพก็คิดได้เองว่าที่เราทำอยู่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก วันๆหนึ่งเราทำแต่เรื่องสติปัญญา ทำเรื่องจิตวิญญาณ เกิดความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ มีค่า พลิกจากความรู้สึกด้อยค่ามาเป็นมีค่ามาก
คำสอนของพระพุทธเจ้าสอนให้คนมีอิสระเสรีภาพอย่างแท้จริง ให้โอกาสอิสรภาพทางปัญญาอย่างแท้จริง ที่ไม่ให้ยึดเนื่องจากการมีอุปาทาน ไม่ว่าจะอยู่ชนชั้นไหน เศรษฐี ยาจก กษัตริย์ มีสาระของความทุกข์เหมือนกัน ไม่มีสูงไม่มีต่ำ
จากนั้นงานสอนธรรมะในหน้าที่ของพุทธสาวกก็เกิดขึ้น ทดแทนบทบาทฆราวาสที่คร่ำหวอดอยู่กับความมุ่งหวังปฏิวัติสังคมด้วยอุดมการณ์คอมมิวนิสต์สู่สังคมอุดมคติแบบพุทธแทน จากนักปฏิวัติคอมมิวนิสต์กลายเป็นนักปฏิวัติทางจิตวิญญาณ
ก า ร ห ยุ ด เ ป็ น สิ่ ง ดี ไม่เคยรู้สึกว่าพ่ายแพ้ และไม่เคยหยุดการปฏิวัติ เพราะเชื่อว่าการช่วยเหลือประชาชนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การที่พรรคคอมมิวนิสต์ยุติการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งดี พระอาจารย์สุเทพกล่าว เมื่อถามย้อนหลังถึงการออกจากป่ามาสู่เมืองอันเป็นผลมาจากการปฏิบัตินโยบาย 66/23
อาตมาเกิดข้อกังขาขึ้นมากับกระแสคอมมิวนิสต์สากล การหยุดการเคลื่อนไหวจึงเหมือนการเรียนรู้ สถานการณ์ของโลก ทำให้ได้ทบทวน การต่อสู้นำไปสู่การปฏิวัติเพื่อให้ได้อำนาจมา แต่เมื่อได้อำนาจมาแล้วจะทำให้เกิดสงบสันติยังไง เป็นสิ่งสะท้อนเข้ามาในความรู้สึก
กระแสสากลทำให้เกิดความไม่แน่ใจในลัทธิมาร์กซ์ที่มีอยู่ในประเทศอื่น แต่สำหรับส่วนตัวแล้วปรัชญาทฤษฎีวิภาษวิธียังถือว่าเป็นเครื่องมือศึกษาชีวิตในเชิงปรัชญาได้ดีที่สุดเครื่องมือหนึ่ง พระอาจารย์สุเทพกล่าว
เมื่อถามถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ที่มีอดีตพคท.ทำแนวร่วมเคลื่อนไหวอยู่ คำวิจารณ์ตรงเป้าของพระสุเทพคือ
พวกนี้รากฐานทางทฤษฎีไม่แน่น เขาจับแต่คำพูดฉาบฉวย ไม่ได้จับไปที่กระบวนการปฏิวัติจริง
พระอ.สุเทพหรืออดีต สหายสมเดช วิจารณ์อย่างไม่อ้อมค้อม ถึงการเคลื่อนไหวม็อบด้วยวิธีปราศรัยบนเวทีทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง
ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างในเรื่องสติปัญญา ต้องไม่เมาคำพูด จึงจะนำผู้คนได้ เขาทำงานด้วยอารมณ์ ไม่ได้ใช้ปัญญา ไม่มีความรู้มูลฐานเพียงพอ
สิ่งที่เป็นความจริงบ้านเรามันพูดไม่ได้ ก็เลยพูดบิดไปบิดมา บ้านใดสังคมใด ไม่สามารถแสวงความจริงอย่างเปิดเผย บ้านนั้นเมืองนั้น ย่อมเข้าสู่กลียุค ขึ้นอยู่กับว่าช้าหรือเร็ว
พระอาจารย์สุเทพขยายความต่อว่า มนุษย์สร้างเครื่องมือแรกขึ้นมาคือภาษา เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร แต่ในหลักพุทธศาสนา ภาษาคือสัญญา ภาษาไม่ใช่ความจริง และไม่ใช่ความจริงแท้ แต่ปัญหาในประเทศคือคนที่ศึกษาเข้าไม่ถึงทฤษฎีจริง และขาดความรู้ขั้นมูลฐานอย่างสิ้นเชิง
ภาษานักคิด นักทฤษฎีอ่านหนังสือมาเยอะ เหมือนเด็กๆ เราก็เคยเป็นเด็กมาก่อน พระอาจารย์สุเทพขยายความด้วยการให้แง่คิดต่อและสรุปลงที่ว่า ถ้าใช้ภาษาเปลี่ยนใจคนได้จึงจะเป็นประโยชน์จริง
การมองปัญหาการเคลื่อนไหวทางการเมืองและแง่คิดที่ได้รับจากพระอาจารย์สุเทพ ทำให้จินตนาการต่อไปได้ว่าถ้าหากเปลี่ยนเวทีม็อบที่นักเคลื่อนไหวภาษาในทั้งสองเวทีนำมาใช้เปลี่ยนจิตคนด้วยการให้สติในทางสร้างสรร ด้วยสันติวิธีมิใช่ในทางทำลาย ความรุนแรงถึงขั้นสูญเสียชีวิตและสูญเสียอวัยวะของทั้งสองเวทีคงไม่บังเกิดขึ้น
กรณีพันธมิตรดึงท่านโพธิรักษ์เข้าไปแนบชิดสถาบันฯก็เพราะสันติอโศกทำเศรษฐกิจพอเพียงอยู่แล้ว
พระอาจารย์สุเทพให้แง่คิดในฐานะผู้สังเกตการณ์วงนอก
กรณีหลวงปู่พุทธอิสระกับพันธมิตรก็เหมือนกัน ถามว่าปรากฏการณ์นี้สะท้อนอะไร สะท้อนให้เห็นว่าศาสนาถูกใช้ในฐานะกลไกหรือเป็นเครื่องมือของรัฐ ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเครื่องมือแบบไหน จากผู้ปฏิบัติที่เลือกฝักเลือกฝ่าย และเนื่องจากพระแยกไม่ออกจากสังคมก็เลยกลายมาเป็นพระฝั่งแดงและพระฝั่งเหลือง และคนในสังคมเข้าไปอยู่ในสังคมที่เราเอนเอียง
ทฤษฎีวิภาษวิธีทำให้เห็นความเสื่อมในหมู่คณะ เสื้อแดงที่พังก็เพราะ ความเย่อหยิ่ง
คำวิจารณ์ชัดเจนของอดีตนักเคลื่อนไหวทางโลกที่วันนี้หันมาทางธรรมเต็มตัว ไม่เว้นทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง
แน่นอนว่าตัวละครที่โลดโผนเป็นนักเคลื่อนไหวทั้งสองฝ่ายในอดีตต่างก็เคยคุ้นกับพระอาจารย์สุเทพมาบ้างไม่มากก็น้อย ระหว่างปฏิบัติงานข่าวอยู่ในป่า นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักคิด หลายต่อหลายคนที่พระอาจารย์สุเทพเมื่อเอยชื่อล้วนแล้วแต่เคยร่วมเข้าป่า ร่วมกับกองทัพแดงมาก่อนทั้งสิ้น
การพูดคุยในวันนั้นต่อเนื่องไปจนถึงการเผยแผ่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เมื่อถามถึงเว็บไซท์หนึ่งที่เผยแพร่บทความชิ้นหนึ่งที่ใช้ชื่อ "พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ" ที่ว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นจากคัมภีร์ไบเบิล วงสนทนาก็เริ่มสนุกสนานเปลี่ยนบรรยากาศในทันที เมื่อพระสงฆ์จากวัดปรินายกรูปหนึ่งเข้าร่วมวงสนทนาด้วย ทุกฝ่ายลงความเห็นว่าคนเผยแพร่มีเจตนาบิดเบือนเพื่อสร้างความสับสนให้กับสังคม เพราะผู้ศึกษาลัทธิมาร์กซ์-เลนินต่างรู้ดีว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นจากการตีความทางปรัชญาไม่ใช่จากศาสนา
" มันมีส่วนที่เขาทำหน้าที่บิดเบือนโดยตรง คือเขียนอะไรเพื่อบิดเบือนทุกเรื่อง" พระอาจารย์สุเทพให้แง่คิดพร้อมรอยยิ้ม
อดีตนักการข่าวในป่าปัจจุบัน พัฒนาวิชาสอนกรรมฐานบัวเจ็ดดอก พระอาจารย์สุเทพเดินทางไปสอนกรรมฐานและสิงคโปร์เป็นระยะๆ และมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ที่สิงคโปร์และปีนังพอๆกับที่ในเมืองไทย
พระพุทธเจ้าคือจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ส่วนสัตว์มนุษย์เจริญที่สุดในโลกกว่าสัตว์ใด เพราะทำเองคิดเองได้
ในโลกของนักปฏิวัติสันติ ศาสนาคือการปฏิวัติ ศาสดาคือนักปฏิวัติ คือคำกล่าวของผู้ศึกษาทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมและการเมืองแบบสันติด้วยพุทธธรรม การเปลี่ยนแปลงสูงสุดของนักปฏิวัติคือการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณซึ่งเป็นสภาวะสูงสุด
แต่สัตว์คนเป็นสัตว์สังคม เพราะฉะนั้นสังคมในอุดมคติจึงเป็นสังคมที่คนเราสามารถรับผิดชอบต่อสังคมได้
พระอาจารย์สุเทพ มีฉายาว่า ชินวโร ที่แปลว่าผู้ชนะที่ประเสริฐ ซึ่งสมแล้วกับความหมายในฐานะนักปฏิวัติ เพราะชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์มิใช่การแสดงอำนาจหรือการใช้ปัญญาคร่าเอาชีวิตเพื่อนมนุษย์เพื่อสังเวยอุดมการณ์บางอย่างของตนเอง แต่ชัยชนะที่แท้จริงของมนุษย์คือการชนะตนเอง ซึ่งเป็นการปฏิวัติทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่และเป็นคุณสมบัติของมนุษย์ผู้เจริญ และเป็นแบบอย่างของผู้ทำความดีในนามของพุทธสาวกทุกผู้ทุกนาม