เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2550 วันวิสาขบูชาโลกโดยไทยเป็นเจ้าภาพในฐานะศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก ซึ่งได้มีตัวแทนชาวพุทธจาก 61 ประเทศเข้าร่วมในขณะที่ในประเทศไทยมีความเคลื่อนไหวเรียกร้องผลักดันให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอย่างกว้างขวางใหญ่โต โดยพระสงฆ์ไทยและชาวพุทธทั่วทั้งประเทศ และการเคลื่อนไหวได้ยกระดับขึ้นสู่สากลด้วยการจัดการเดินธรรมยาตราวิสาขบูชานานาชาติสร้างสันติภาพโลกถาวร (Lasting World Peace) ถวายเป็นพระราชกุศล 80 พรรษา ถวายเป็นพุทธบูชาโดยเดินจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) สนามหลวงไปสู่พุทธมณฑล โดยมีธงธรรมยาตราวิสาขบูชาสันติภาพโลกถาวรสีเหลืองฟ้ามีตราธรรมจักรและลูกโลก มีข้อความในธงว่า ธรรมยาตราวิสาขบูชาวันสันติภาพโลก และภาษาอังกฤษว่า The Vesak Day Walk The World Peace Day Walk ขนาด 5 X 3 เมตร 2 ผืนๆ หนึ่งติดตั้งบนรถแห่นำขบวน อีกผืนหนึ่งแห่อัญเชิญเดินโดยพระ 6 รูปแบบเดียวกับธงโอลิมปิกเดินธรรมยาตราฯ ตั้งแต่เวลา 12. 30 น. 18.30 น. เวียนเทียนสวดมนต์รอบพระศรีศากยะทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทัศน์ (องค์พระ) บรรลุธรรมสำเร็จอย่างงดงาม
ในปีพ.ศ. 2551 ประเทศเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดงานวันวิสาขบูชานานาชาติ ขบวนธรรมยาตราฯได้มีโครงการจะเดินธรรมยาตราวิสาขบูชานานาชาติสร้างสันติภาพโลกถาวร ยกระดับวันวิสาขบูชาขึ้นเป็นวันสันติภาพโลกถาวร จากพุทธมณฑลประเทศไทยสู่ประเทศลาว สู่ประเทศเวียดนาม ซึ่งจะมีพระภิกษุสงฆ์และชาวพุทธจำนวนมาก เข้าร่วมโยมีพระเถระผู้ใหญ่บางรูปได้เสนอว่าจะใช้ช้าง 99 เชือก ร่วมเดินธรรมยาตราเป็นต้น
การสร้างสันติภาพโลกได้มีการเคลื่อนไหวมายาวนานโดยเฉพาะหลังสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ได้มีการตั้งองค์การระดับโลกขึ้นคือ สันนิบาตชาติ (The League of Nation) หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และองค์การสหประชาชาติ (United Nations) สันนิบาตชาติไม่สามารถรักษาและสร้างสันติภาพโลกได้เพราะหลักการจัดตั้งไม่สมบูรณ์ มีเพียง 3 หลักคือ อิสรภาพ เสมอภาค เสรีภาพ ในที่สุดเสียงข้างมากก็ลากไปทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติเพื่อรักษาสันติภาพโลกและรักษาความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยมีการเพิ่มหลักการจัดตั้งเข้าไปอีก 2 หลักคือ สุขุมคัมภีรภาพ และดุลยภาพ ให้คณะมนตรีความมั่นคงเป็นสถาบันหลักเป็นผู้ถือดุล ซึ่งประกอบด้วยมหาอำนาจที่ชนะสงครามเป็นฝ่ายพันธมิตร 5 ชาติ คือ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน ร่วมกันรับผิดชอบ (Collective Responsibility) ต่อความมั่นคงระหว่างประเทศและสันติภาพโลก หลักสุขุมคัมภีรภาพคือ ไม่ให้สมัชชาใหญ่เป็นผู้ถือดุล แต่ให้คณะมนตรีความมั่นคงเป็นผู้ถือดุลและเป็นสถาบันหลักแทน โดยใช้หลักดุลยภาพ (Equilibrium) คือในมติสำคัญจะต้องลงมติเป็นเอกฉันท์และให้สิทธิ์วีโต้ (Veto) แก่สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง
แต่ก็สามารถรักษาสันติภาพโลกชั่วคราวได้เท่านั้น แม้จะไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แต่ก็เกิดสงครามระหว่างชาติและสงครามกลางรุกราน สงครามกลางเมืองกันอยู่ตลอดเวลา ไม่เกิดสันติภาพถาวรเพราะเหตุที่ไม่มีการปฏิวัติทางสังคมอย่างสันติ (Peaceful Revolution) กับการปฏิวัติจิตใจของมนุษย์ไปพร้อมกันซึ่งเรียกว่า มนุษยปฏิวัติ (Human Revolution) มีแต่การปฏิวัติรุนแรง เช่น มหาปฏิวัติฝรั่งเศส (ซึ่งเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตย)
การปฏิวัติด้วยสงครามประชาชนของรัสเซียและจีน (ซึ่งเป็นการปฏิวัติสังคมนิยมคอมมิวนิสต์) จึงทำให้การแก้ปัญหาระหว่างมนุษย์ (ประชาชาติ) ยังคงใช้ความรุนแรงเป็นวิธีการต่อสู้ และการต่อสู้สูงสุดคือสงคราม แม้จะใช้หลักการจัดตั้งของสหประชาชาติ ระบบรับผิดชอบร่วมกันและคานกันไว้ของอำนาจโลก 2 ขั้วก็ตาม แต่เมื่อโลกเสียดุล สหภาพโซเวียตล่มสลายก็เกิดการก่อการร้ายสากลสู้กับขั้วอำนาจเดียวกันคือ สหรัฐฯ และสหรัฐฯก็ตอบโต้โดยตรงไม่ผ่านคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ กลายเป็นสงครามบุกอัฟกานิสถานและอิรัก การก่อการร้ายสากลยิ่งรุนแรงขึ้น กลายเป็นสังคมโลกรูปแบบใหม่คือ สงครามกับการก่อการร้ายสากล ทำให้สหประชาชาติล้มเหลวในการรักษาสันติภาพโลก
การปฏิวัติทางจิตใจของมนุษย์ก็ทำได้แต่เพียงในระดับบุคคลปัจเจกชน โดยไม่สัมพันธ์สอดคล้องกับการแก้ปัญหาส่วนรวมอันเป็นสังคมที่มีการเมืองเป็นส่วนนำ กลับขัดแย้งกัน การเมืองใช้สงครามแก้ไขจิตใจใช้ธรรมะแก้ไข จึงทำให้การปฏิวัติจิตใจของบุคคลปัจเจกชนไม่ก้าวหน้า ถูกขัดขวางจากการเมืองที่ใช้ความรุนแรง สงครามครอบงำสันติภาพ หรือปฏิวัติรุนแรงครอบงำปฏิวัติสันติ
อีกประการหนึ่ง ในยุคหลังๆ นั้น บรรดาศาสนิกของแต่ละศาสนาเกิดความย่อหย่อนในการปฏิบัติธรรม เข้าไม่ถึงหลักธรรมที่แท้จริงของแต่ละศาสนา เช่น ศาสดาของตนเอง คำสอนที่ถูกต้องถูกบิดเบือน หรือถูกผู้ปกครองผู้มีอำนาจรัฐใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือปกครองแบบเผด็จการและถูกระบบเศรษฐกิจครอบงำศาสนา เป็นต้น ศาสนาแบบอัตตาก็ถูกใช้เป็นเงื่อนไขทำสงคราม แม้ศาสนาเดียวกันก็รบกันเอง ส่วนศาสนาแบบอนัตตาก็ถูกครอบงำจนไม่อาจจะแสดงบทบาทออกมาได้เพียงพอที่จะนำบุคคลปัจเจกชนและสังคมการเมืองไปสู่มนุษยปฏิวัติ สร้างสันติภาพโลกถาวรได้
ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลกที่ทั่วโลกยอมรับ อีกทั้งโลกยอมรับยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสากลของโลกเพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสันติภาพที่แท้จริง เพราะเป็นศาสนาอนัตตา ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ไทยนั้น ได้ทรงนำเอาหลักทศพิธราชธรรมของพระพุทธศาสนามาเป็นหลักการของสถาบันพระมหากษัตริย์ใช้ปกครองและปกป้องกอบกู้ประเทศชาติตลอดมา จึงทำให้ประเทศไทยมีเงื่อนไขเหมาะสมเพียงพอที่จะทำมนุษยปฏิวัติได้สำเร็จเป็นประเทศแรกของโลก (Novelty) เพราะคนไทยมีลักษณะพิเศษประจำชนชาติไทยอันสูงส่งเหนือกว่าชนชาติอื่นทั้งสิ้น คือ รักความเป็นไท (Love of Independence) อหิงสา (Non-Violence)รู้จักประสานประโยชน์ (Power of Assimilation) ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของการทำปฏิวัติสันติทางการเมือง พอดีกับประเทศไทยยังปฏิวัติประชาธิปไตยยังไม่แล้วเสร็จ (Democratic Revolution) ซึ่งเริ่มขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช 3 พระองค์คือ รัชกาลที่ 5 รัชการที่ 6 และรัชกาลที่ 7 เพราะถูกทำลายลงการปฏิวัติรุนแรงโดยคณะราษฎร เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 และต่อมาถูกการปฏิวัติรุนแรงของคอมมิวนิสต์ขัดขวางการปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างสันติ
แต่ฝ่ายปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างสันติในแนวทางพระปกเกล้าก็สามารถต่อสู้เอาชนะการปฏิวัติรุนแรงของคอมมิวนิสต์ลงได้ด้วย
นโยบาย 66/23 แต่ก็ยังสร้างประชาธิปไตยระดับสูงอย่างสันติในขั้นตอนที่ 2 ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายไม่สำเร็จ เพราะยังถูกลัทธิรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเผด็จการขัดขวางอยู่
ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีที่เรายังปฏิวัติประชาธิปไตยยังไม่แล้วเสร็จ ปฏิวัติช้ากว่าประเทศใดๆในโลก เราจึงจะสามารถทำการปฏิวัติสันติสร้างประชาธิปไตยต่อจากพระมหากษัตริย์ไทยในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช 3 พระองค์ได้ อีกทั้งเกิดการเคลื่อนไหวใหญ่ต่อสู่เพื่อผลักดันเรียกร้องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติโดยพระภิกษุสงฆ์และชาวพุทธส่วนใหญ่ของประเทศ ให้บัญญัติรับรองและรักษาไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นรูปการเบื้องต้นของการ ปฏิวัติสันติสร้างประชาธิปไตยอย่างเป็นไปเองตามแนวทางประชาธิปไตยของสมเด็จพระปกเกล้าที่ทรงสืบทอดมาจากรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระบิดาแห่งประชาธิปไตย หรือ พระบิดาแห่งปฏิวัติสันติของไทย ต่อสู้กับเผด็จการในรูปการความคิดคือ ลัทธิรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นเผด็จการตรงข้ามกับพระพุทธศาสนาและได้ขัดขวางกดขี่ทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทยมาตลอดเป็นเวลายาวนานถึง 75 ปี
คณะราษฎรได้ทำลายปฏิวัติสันติสร้างประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ลงแล้วสถาปนาลัทธิรัฐธรรมนูญขึ้นครอบงำปกครองประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมาจนถึงบัดนี้ !
ขบวนการเผด็จการลัทธิรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฏฐิได้ทำการต่อสู้กับพระภิกษุสงฆ์และชาวพุทธทั้งประเทศ ไม่ยินยอมบัญญัติว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ลงในรัฐธรรมนูญเป็นอันขาด เพราะจะเป็นการทำลายลัทธิรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเผด็จการและมิจฉาทิฏฐิที่พวกขบวนการลัทธิรัฐธรรมนูญได้อำนาจและได้ผลประโยชน์ จึงทำให้พระภิกษุสงฆ์และชาวพุทธยิ่งตื่นตัวและเริ่มมองเห็นความเป็นเผด็จการและมิจฉาทิฏฐิของลัทธิรัฐธรรมนูญชัดเจนยิ่งขึ้น ได้ลุกขึ้นต่อสู้แบบอหิงสาครั้งใหญ่ โดยเริ่มปฏิบัติอหิงสาธรรมอดอาหารและนั่งปฏิบัติธรรม ณ รัฐสภาวนาราม หน้าอาคารรัฐสภาติดกับสวนสัตว์ดุสิต (เขาดิน) ถ.อู่ทองใน เขตดุสิต กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 แต่ได้เริ่มปักกลดต่อสู้จนเป็นรัฐสภาวนารามตั้งแต่ วันที่ 27 มีนาคม 2550 อันเป็นกระบวนการประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมืองทางปฏิบัติอย่างเป็นไปเอง โดยมีสื่อสารมวลชนหลัก (Press Organ) คือ โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ช่อง 5 สุวรรณภูมิแห่งยุคสมัย รายการ ร้อยยุทธศาสตร์ ล้านยุทธวิธี และรายการรู้รักสามัคคี รายการรักความเป็นไท สถานีวิทยุเสียงสามยอด (สสส) AM 1179 KHZ. และรายการสู่ชัยชนะ FM 92.25 MHZ. รวมทั้งสถานีวิทยุของพระพุทธศาสนา ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือเผยแผ่โฆษณารวม เสนอแนวทางเคลื่อนไหวรวม จัดตั้งรวมและกำหนดยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีรวม โดยขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติในแนวทางพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 ร่วมกับขบวนการศาสนาเพื่อมนุษยชาติที่ยึดถือพระพุทธศาสนาเป็นสถาบันหลักและเป็นผู้ถือดุลแห่งศาสนาทั้งปวง
ในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ปฏิวัติของระยะเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) ในการปกครองเฉพาะ
กาล (Provisional Government) โดยคณะคมช.และรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่จะต้องยกเลิกระบอบเผด็จการทุนนิยมผูกขาด สร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ กำลังต่อสู้กับระบอบเผด็จการรัฐสภาหรือเผด็จการพลเรือน ซึ่งจะต้องนำเอาประชาธิปไตยแนวทางพระปกเกล้าที่เป็นการปฏิวัติสันติตามนโยบาย 66/23 เข้าต่อสู้จึงจะชนะคู่ต่อสู้ได้ จะใช้ลัทธิรัฐธรรมนูญโดยการร่างรัฐธรรมนูญแล้วเลือกตั้งแบบเผด็จการก็จะพ่ายแพ้ เช่นเดียวกับคณะรสช. เป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย แต่จะต้องต่อสู้กับลัทธิรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับพระภิกษุสงฆ์ และชาวพุทธ จึงทำให้กลายเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์กันอย่างเป็นไปเองในท้ายที่สุด จะได้ปฏิบัติภารกิจปฏิวัติสันติสร้างประชาธิปไตยแบบอหิงสาของพระพุทธเจ้าและของพระมหากษัตริย์ร่วมกันในท้ายที่สุด อันเป็นการปฏิบัติธรรมทางการเมืองและทางจิตใจไปพร้อมๆกัน ปฏิวัติเพียงด้านเดียว ด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น
เมื่อประเทศไทยได้ทำการปฏิวัติสันติแบบอหิงสาพุทธสร้างประชาธิปไตย จะเกิดสัมพันธภาพระหว่าง คนกับสังคม (Man & Society) ระหว่าง วัตถุกับจิต ระหว่าง ธรรมะกับประชาธิปไตย ระหว่าง โมกษธรรมกับการเมือง ระหว่าง ศาสนจักรกับอาณาจักร ระหว่าง สังขตธรรมกับอสังขตธรรม ระหว่าง โลกียธรรมกับโลกุตตรธรรม ระหว่าง ความไม่มีกับความมี หรือ ศูนย์กับหนึ่ง (0 กับ 1) ระหว่าง จิตมนุษย์กับจิตสังคม อันเป็นสัมพันธภาพภายในที่ถูกต้อง (Interrelationship) ของสรรพสิ่งและปรากฎการณ์ทั้งมวลจะบังเกิดเป็น สันติภาพโลกถาวร ขึ้นในประเทศไทยเป็นประเทศแรก
สันติภาพโลกในประเทศไทยจะก่อผลสะเทือนแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งผ่านระบบโลกาภิวัตน์ (Globalization) ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ มีความไวของเทคโนโลยีการสื่อสาร จะยกระดับโลกทั้งใบจาก โลกาภิวัตน์...สู่ประชาธิปไตยภิวัตน์...สู่ธรรมาภิวัตน์...สู่สันติภาพถาวรภิวัตน์
ประเทศไทย จะเป็นผู้นำโลกหรือมนุษยชาติเปลี่ยนผ่านจาก ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (Modern History) สู่ยุคหลังประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (Post Modern History) ที่เป็นยุคแห่งพระศรีอาริยเมตตรัยอย่างแท้จริง
นี่คือยุทธศาสตร์โลกยุทธศาสตร์ธรรม สร้างสันติภาพโลกถาวรด้วยพระพุทธศาสนาและประชาธิปไตย อันเป็นมนุษยปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่สูงส่งและสูงสุดนั่นเอง อันเป็นการพิสูจน์ว่า ธรรมะย่อมเอาชนะอธรรม และประชาธิปไตยย่อมชนะเผด็จการ และ สันติภาพย่อมเอาชนะสงคราม และ "เอกภาพย่อมชนะความขัดแย้ง และ อนัตตาย่อมชนะอัตตา ตลอดมาและตลอดไป เป็นอนัตตากาลชั่วนิรันดร ตามคำสอนอันยิ่งใหญ่ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาเอกของโลกและจักรวาลพระองค์นั้น
สมาน ศรีงาม
รักษาการขบวนการศาสนาเพื่อมนุษยชาติ
เลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
11 มิถุนายน พ.ศ 2550
|