(ต่อจากตอนที่แล้ว)
ผมนับถืออาจารย์ปรีดีหรือไม่
เมื่อผมเขียนตำหนิอาจารย์ปรีดีในหลักไท หลายคนต่อว่าผมว่าผมไม่เคารพอาจารย์ปรีดี ผมขอเรียนความจริงใจว่าผมเคารพนักการเมืองใหญ่ๆทุกคน อย่างเช่นคุณควง จอมพลป. หม่อมเสนีย์ หม่อมคึกฤทธิ์ จอมพลถนอมฯลฯ ท่านหล่านี้เมื่อผมได้พบเห็นผมต้องยกมือไหว้ทันทีด้วยความรู้สึกเหมือนเด็กไหว้ผู้ใหญ่ ต่ออาจารย์ปรีดีนั้น เวลาผมพบท่านผมรู้สึกเหมือนได้พบผู้ใหญ่ทุกทีไป และไหว้ท่านด้วยความเคารพทุกครั้ง
การที่ผมเคารพนักการเมืองใหญ่ๆทุกคนนั้น นอกจากเพราะท่านเหล่านั้นเจริญด้วยวุฒิและคุณวุฒิต่างๆแล้ว ยังเนื่องจากความรู้สึกในส่วนลึกของจิตใจของผมเองด้วย คือความเคารพมนุษย์ ผมรู้สึกว่ามนุษย์เป็นสัตว์สูงสุด ในโลกนี้ไม่มีสัตว์ชนิดใดจะเหนือกว่ามนุษย์ ผมเคยดูละครสัตว์ในต่างประเทศ เขาเอามาหกคะเมนตีลังกาอย่างเป็นทีมน่าพิศวง แต่เมื่อมาเห็นคนขอทานตาบอดนั่งอยู่ข้างถนนในกรุงเทพฯก็ยังรู้สึกว่าเขาเหนือกว่าหมาเหล่านั้น เพราะเขาเป็นมนุษย์
ซึ่งถึงอย่างไรก็จะต้องมีปัญญารู้เหตุผลได้ หมาเหล่านั้นถึงจะหกขะเมนตีลังกาวาดลวดลายอย่างที่คนสู้ไม่ได้ แต่มันก็ไม่สามารถรู้เหตุผล จึงสู้คนขอทานตาบอดไม่ได้ แม้แต่เทวดาก็สู้มนุษย์ไม่ได้ เพราะเทวดาสบายเกินไปซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้า จึงต้องเหาะลงมาแอบฟังธรรมของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นมนุษย์ (ในตอนดึกๆ) เสมอ ผมเคารพมนุษย์ครับ ถ้าจะมีพระเจ้าในโลกนี้ผมว่าพระเจ้าก็คือมนุษย์นี่เอง ผมเคยฟังเทศน์ของท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านบอกว่าศาสนาพุทธก็มีพระเจ้า ซึ่งภาษาฝรั่งเรียกว่ากอด (God) แต่พระเจ้าในศาสนาพุทธออกเสียงสั้นกว่าคือเรียกว่า กฎ กอดก็คือกฎนั่นเอง เพียงแต่ออกเสียงสั้นยาวยาวกว่ากันเท่านั้น แต่ผมเห็นต่างกับท่านพุทธทาส ผมเห็นว่าพระเจ้าไม่ใช่กฎและไม่ใช่กอด แต่พระเจ้าคือมนุษย์ เพราะมนุษย์สูงกว่ากฎและสูงกว่ากอด คือมนุษย์สามารถรู้กฎและรู้กอด กฎนั้นถ้าไม่มีผู้รู้มันก็ตั้งอยู่ของมันเฉยๆและกอด (พระเจ้า) ถ้าไม่มีผู้รู้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่เมื่อมนุษย์รู้กฎก็สามารถนำกฎมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่างๆได้กระทั่งไปเดินเล่นบนดวงจันทร์ก็ยังได้ และเมื่อมนุษย์รู้กอด(รู้พระเจ้า) ก็สามารถเข้าถึงพระเจ้า เป็นสุขนิรันดรไปเลย ผมจึงว่ามนุษย์เหนือกว่ากฎและเหนือกว่ากอด ถ้าพระเจ้ามีอยู่ พระเจ้าก็คือมนุษย์ มนุษย์จึงเป็นที่เคารพสูงสุดของผม ผมจึงมองไม่เห็นว่ามีมนุษย์คนใดที่ผมจะไม่เคารพ แล้วผมจะไม่เคารพนักการเมืองใหญ่ๆ โดยเฉพาะคืออาจารย์ปรีดีซึ่งเป็นมนุษย์สำคัญคนหนึ่งได้อย่างไร
แต่มนุษย์คนใดก็ตาม โดยเฉพาะนักการเมืองใหญ่ๆ คนใดก็ตามถ้าผิดพลาดทางการเมืองให้เป็นความเสื่อมเสียแก่ประเทศและประชาชน ผมก็ต้องตำหนิความผิดพลาดเหล่านั้น พูดให้ชัดผมตำหนิความผิดพลาดทางการเมืองของเขา ผมไม่ได้ตำหนิตัวเขา แม้แต่ความผิดพลาดส่วนตัวของเขาผมก้ไม่ตำหนิ เพราะความผิดพลาดส่วนตัวให้ผลภัยแก่ส่วนตัวเขาเท่านั้น แต่ความผิดพลาดทางการเมืองให้ผลร้ายแก่ส่วนรวมคือประเทศชาติและประชาชน จึงต้องตำหนิกัน และอันที่จริง เจาตัวควรจะตำหนิความผิดพลาดทางการเมืองของตนเองอยู่แล้วไม่ควรรอให้คนอื่นตำหนิ
มีคนเข้าใจผิดว่า การตำหนิคือความไม่เคารพ ถ้าเคารพก็ต้องไม่ตำหนิ ที่จริงการเคารพกับการตำหนิเป็นคนละเรื่องกัน ตำหนิโดยมุ่งร้ายเพื่อจะเหยียบให้จมดินก็มี ตำหนิโดยหวังดีเพื่อให้เจริญรุ่งเรืองก็มี
ถ้าเอาการตำหนิกับความไม่เคารพไปปะปนกัน ก็จะมีแต่ดีครับๆ ถูกครับๆ ตะพึดตะพือ อย่างนั้นไม่ใช่การเคารพ แต่เป็นความสอพลอ หน้าไหว้หลังหลอกกลอกกลับ ผลก็จะเป็นอย่างพระไชยสุริยาเจ้าเมืองสาวัตถี ซึ่งสุนทรภู่แต่งไว้ว่า
ขึ้นเกมสมเด็จจอมอารย์ เอ็นดูภูบาลผู้ผ่านภาราสาวัตถี
ซื่อตรงหลงเล่ห์เสนี กลอกกลับอัปปรีย์บุรีจึงล่มลงไป
ผมเคารพมนุษย์ ผมจึงเคารพอาจารย์ปรีดี ซึ่งเป็นมนุษย์คนสำคัญและเป็นนักการเมืองใหญ่คนหนึ่ง
แต่อาจารย์ปรีดีทำผิดพลาดทางการเมือง ถึงขนาดเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของการปฏิวัติประชาธิป
ไตย แล้วจะไม่ให้ผมตำหนิความผิดพลาดนั้นได้อย่างไร ผมตำหนิความผิดพลาดทางการเมืองของอาจารย์ปรีดีด้วยความเคารพต่ออาจารย์ปรีดีครับ ไม่ได้ตำหนิด้วยความลบหลู่ดูหมิ่นหรือคิดไม่ดีต่อท่านแต่ประการใดเลย
ใครเป็นผู้นำที่แท้จริงของคณะราษฎร
ผมเขียนไว้ใน หลักไท ว่า อาจารย์ปรีดีเป็นนักปฏิวัติประชาธิปไตยคนสำคัญที่สุดของคณะราษฎร กล่าวได้ว่าท่านเป็นผู้นำที่แท้จริงของคณะราษฎร
ผู้นำของคณะราษฎรมีหลายคน เช่นเดียวกับผู้นำของพรรคอื่น ย่อมไม่มีคนเดียว แต่ผมหมายถึงผู้นำที่แท้จริงซึ่งมักจะมีคนเดียว อย่างเช่นผู้นำที่แท้จริงของพรรคกิจสังคมเวลานี้ ผมเห็นว่ามีหม่อมคึกฤทธิ์คนเดียว
มีผู้คัดค้านว่า ผุ้นำของคณะราษฎรไม่ใช่อาจารย์ปรีดีและผู้นำที่แท้จริงก็ไม่ใช่อาจารย์ปรีดี แต่เป็นพระยาพหลฯ เขายกข้อเท็จจริงมาอ้างว่า เมื่อเวลา 6 นาฬิกาวันที่ 24 มิถุนายน 2475 พระยาพหลฯได้ก้าวออกมาหน้าหน่วยทหารที่ชุมนุมกันอยู่ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า พร้อมสรรพด้วยอาวุธและรถถัง เมื่อยืนหันหน้ามายังกองกำลังถืออาวุธเหล่านั้นแล้ว พระยาพหลฯก็อ่านคำประกาศคำแถลงการณ์ของคณะราษฎรฉบับแรกด้วยเสียงอันดังว่า ราษฎรทั้งหลาย เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชสมบัติต่อจากพระเชษฐานั้นในขั้นต้นราษฎรบางคนได้ท้วงกันว่า กษัตริย์องค์ใหม่คงจะปกครองให้ราษฎรได้ร่มเย็น... คำแถลงการณ์ของคณะราษฎรฉบับนี้ยาวกว่า 2 หน้ากระดาษพิมพ์ พระยาพหลฯเป็นคนอ่าน อาจารย์ปรีดีเป็นคนร่าง
ผมได้ยกข้อเขียนของอาจารย์ปรีดีเรื่องการก่อตั้งคณะราษฎรที่ปารีสมากล่าวไว้แล้วว่า ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ข้าพเจ้า (อาจารย์ปรีดี) เป็นประธานและเป็นหัวหน้าคณะราษฎรจนกว่าจะมีบุคคลที่เหมาะสมเป็นหัวหน้าคณะราษฎรในกาลต่อไป
เมื่อบรรดาผู้นำของคณะราษฎรส่วนใหญ่กลับประเทศไทยแล้ว ร.ท.ประยูร ภมรมนตรีเป็นผู้ประสานงานกับกลุ่มและบุคคลอื่นๆที่คิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองอยู่ในเมืองไทย คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ได้เขียนคำให้สัมภาษณ์ของพระยาพหลฯไว้ตอนหนึ่งว่า
พระยาพหลฯได้ทราบจากคำบอกเล่าของนสยประยูรว่า ในเวลานั้นได้มีข้าราชการหนุ่มๆ ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนซึ่งรวบรวมกันเป็นคณะใหญ่คณะหนึ่ง ได้ติดต่อร่วมกันคิดจะทำการปฏิวัติการปกครองแผ่นดิน ทางฝ่ายทหารบกมี นายพันตรีหลวงพิบูลสงคราม รวบรวมสมัครพรรคพวกที่เป็นนายทหารเสนาธิการและนายทหารปืนใหญ่ไว้ได้กลุ่มหนึ่ง และนายร้อยเอกหลวงทัศนัยนิยมศึก ประกอบด้วยพรรคพวกนายทหารม้าแห่งกองร้อยรถรบกลุ่มหนึ่ง ทางฝ่ายทหารเรือ นายนาวาตรีหลวงสินธุสงครามชัย ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกนายทหารเรือไว้กลุ่มหนึ่ง ทางฝ่ายพลเรือนหลวงประดิษฐมนูธรรมได้รวบรวมสมัครพรรคพวกไว้ได้กลุ่มหนึ่ง และยังมีนายตั้ว ลพานุกรม และหลวงนฤเบศร์มานิตก็ยังรวบรวมสมัครพรรคพวกที่บรรดาหัวหน้าเหล่านั้นได้รวบรวมไว้แล้วนั้น นับว่าเป็นการเพียงพอที่จะดำเนินการปฏิวัติได้ ยังขาดอยู่ก็แต่ความร่วมมือของนายทหารผู้ใหญ่เท่านั้น บรรดาหัวหน้ากลุ่มเหล่านั้นใคร่จะเชิญพระยาพหลฯและนายทหารชั้นผู้ใหญ่อีก 2 ท่าน ผู้เป็นเพื่อนสนิทของท่านให้ร่วมมือด้วย เมื่อพระยาพหลฯได้ซักถามข้อความต่างๆจากนายประยูร ภมรมนตรี จนเป็นที่พอใจในน้ำใสใจคอของบรรดาบุคคลที่นายประยูรได้ออกนามมาแล้ว พระยาพหลฯก็รีบตกลงว่าจะร่วมมือด้วย...เจ้าคุณพหลฯแจ้งว่า ไม่ได้จดไว้และจำไม่ได้ว่า การประชุมครั้งแรกนั้นมีการขลุกขลักอยู่บ้าง เพราะผู้ที่ได้รับนัดหมายไม่ได้ประชุมครบถ้วน ผู้ที่เข้าร่วมการประชุมครั้งแรกมีจำนวนเพียง 5 ท่าน คือพระยาพหลฯ พระยาทรงฯ พระยาฤทธิฯ หลวงพิบูลฯ และนายประยูร...พระยาทรงฯ ได้เสนอให้พระยาพหลฯเป็นผู้นำคณะ และที่ประชุมรับรองเห็นชอบด้วย (จากหนังสือ เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475 โดยนายกุหลาบ สายประดิษฐ์)
จากคำให้สัมภาษณ์ของพระยาพหลฯแสดงให้เห็นว่า กลุ่มของพระยาพหลฯซึ่งคิดการอยู่ในประเทศไทย ได้รวมเข้าอยู่ในคณะราษฎรซึ่งก่อตั้งที่ปารีส และพระยาพหลฯก้ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าคณะราษฎร แทนอาจารย์ปรีดี ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าที่ปารีส
พระยาทรงฯเสนอให้พระยาพหลฯเป็น ผู้นำคณะ ซึ่งหมายถึงเป็นหัวหน้าคณะนั่นเอง การเรียกพระพหลฯว่า เป็นผู้นำนั้น คนอื่นเรียก ไม่ใช่พระยาพหลฯเรียก เช่นพระยาทรงฯเสนอให้ผู้นำดังกล่าวแล้วหรือคุณกุหลาบบางทีเรียก หัวหน้า เช่น ประโยคว่า ท่านหัวหน้าคณะราษฎร เป็นผู้ที่มีความสงบเสงี่ยม... ฯลฯ
แต่สำหรับพระยาพหลฯเอง เรียกตัวเองว่าเป็นหัวหน้า ไม่เคยเรียกว่า ผู้นำ เช่นประโยคว่า ในฐานะที่ผมได้รับยกย่องให้เป็นหัวหน้าคณะ ผมย่อมจะสำนึกในความรับผิดชอบของผมอย่างเต็มเปี่ยม...
จึงเห็นได้ว่า พระยาพหลฯนั้นเป็นทั้งหัวหน้าคณะราษฎรและผู้นำคณะราษฎร
แต่ที่ผมพูดถึงอาจารย์ปรีดีนั้น ผมไม่ได้พูดว่าท่านเป็นหัวหน้าคณะราษฎรหรือเป็นผู้นำคณะราษฎร ผมพูดว่า กล่าวได้ว่า ท่านเป็นผู้นำที่แท้จริงของคณะราษฎร (หลักไท ฉบับที่ 66)
อันนี้ไม่ใช่คณะราษฎรเลือกท่าน หรือท่านเรียกตัวท่านเอง แต่ผมเป็นผู้เรียก ผมยกย่องอาจารย์ปรีดีว่าเป็น ผู้นำที่แท้จริง ของคณะราษฎร หรือจะกล่าวว่าผมเป็นผู้ตั้งอาจารย์ปรีดีให้เป็น ผู้นำที่แท้จริง ของคณะราษฎรก้ได้เหมือนกัน ส่วนเจ้าตัวจะรับหรือไม่รับก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งหรือผมจะตั้งผิดหรือถูกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรผมก็ยกอาจารย์ปรีดีไว้ในฐานะอันสูงด้วยความจริงใจตลอดมา คือยกให้ท่านเป็นผู้นำที่แท้จริงของคณะราษฎร ใครจะเถียงว่าอาจารย์ปรีดีไม่ใช่ผู้นำที่แท้จริงของคณะราษฎร ก็ขอให้เถียงไปเถิด แต่ผมแน่ใจว่าท่านเป็น
(อ่านต่อตอนหน้า)
อ่านย้อนหลัง...
|