1. คณะราษฎรได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศไว้แล้ว
2. มีผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจการปกครองประเทศชั่วคราว
3. ได้เชิญอภิรัฐมนตรี พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์และข้าราชการบางท่าน มาที่พระที่นั่งอนันตสมาคมพื่อประกันความปลอดภัยของคณะราษฎร
4. ได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กลับจากพระราชวังไกลกังวล หัวหินมากรุงเทพฯ ทูลขอให้เป็นพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
5. ได้เตรียมสร้างรัฐธรรมนูญการปกครองอาณาจักรไว้แล้ว จะทูลเกล้าฯถวายเพ่อลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นหลักการปกครองประเทศต่อไป
6. ต่อไปจะมีสภาผู้แทนราษฎรขึ้น สมาชิกของสภาจะต้องเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งจากราษฏร แต่ในขั้นต้น จะตั้งจากบุคคลที่ได้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งได้รับ การศึกษา มีความรู้ในระบอบการปกครองนี้บ้าง และจะได้เชิญท่านผู้ใหญ่ในราชการและผู้ประกอบอาชีพอื่นที่เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง มาร่วมเป็นสมาชิกสภาเป็นการชั่วคราว ชั่วระยะอันเร็ววัน
ขอให้เสนาบดีและปลัดทูลฉลองไปชี้แจงต่อข้าราชการในกระทรวง ให้ปฏิบัติราชการไปตามปกติ สิ่งใดที่เป็นงานปกติก็ให้ปฏิบัติงานนั้นไปตามระเบียบที่เคยกระทำมา แต่ถ้าปัญหาใดเป็นปัญหานโยบาย ก็ให้ขอความเห็นชอบจากผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารก่อน
ก่อนเลิกประชุม หลวงประดิษฐมนูธรรม ได้กล่าวย้ำว่า สำหรับความสงบเรียบร้อยในประเทศนั้น ขอให้ปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับกรุงเทพฯนั้นให้กำชับตำรวจให้กวดขันดูแลโดยเคร่งครัด ทางฝ่ายหัวเมืองก็กำชับให้รักษาความสงบอย่างเต็มที่ ส่วนด้านการต่างประเทศนั้น ขอให้เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศรีบชี้แจงแก่ทูตทุกสถานทูตให้ทราบความประสงค์ของคณะราษฎรที่กระทำครั้งนี้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงกิจการภายในประเทศ คณะราษฎรจะไม่กระทำกิจการใดๆให้กระทบกระเทือนชีวิตและทรัพย์สินของคน(ใน) บังคับต่างประเทศเป็นอันขาด สัญญาทางพระราชไมตรีมีอยู่อย่างใดคงถือตามนั้นต่อไป ทั้งขอให้ระวังการแทรกแซงของต่างประเทศด้วย (จากบันทึกของนายประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ อดีตเลขาธิการรัฐสภา)
จะเห็นได้ว่า ในการประชุมเสนาบดีและปลัดทูลฉลอง หัวหน้าหรือผู้นำของคณะราษฎรไม่ได้ว่าอะไรเลย นอกจากกล่าวเปิดประชุม อาจารย์ปรีดีว่าคนเดียว
และในเย็นวันที่ 26 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรเข้าเฝ้าสมเด็จพระปกเกล้า ณ วังสุโขทัย อาจารย์ปรีดีในฐานะผู้แทนคณะราษฎร ทูลเกล้าฯถวายร่างรัฐธรรมนูญเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้น อาจารย์ปรีดีร่างเอง
เมื่อเปิดสภาในวันที่ 28 มิถุนายน ที่ประชุมมอบให้อาจารย์ปรีดีเป็นเลขาธิการรัฐสภาคนแรก และการเลือกตั้งคณะกรรมการราษฎร อาจารย์ปรีดีก็เป็นผู้แนะนำให้ตั้งพระยามโนฯเป็นประธานคณะกรรมการราษฎร
คุณประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ ซึ่งเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้สร้างรัฐสภาไทย เล่าให้ผมฟังว่า ท่านได้เห็นกับตาว่าทุกเรื่องอาจารย์ปรีดีเป็นคนทำทั้งนั้น คนอื่นทำอะไรไม่เป็นในเรื่องการสร้างระบบรัฐสภา
รวมความว่า ตั้งแต่ก่อตั้งคณะราษฎร กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ของคณะราษฎร การวางแผนร่างโครงการและการปฏิบัติต่างๆ ในการยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช และสถาปนาการปกครองระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญนั้น เป็นเรื่องของอาจารย์ปรีดี เป็นสำคัญที่สุด และข้อเท็จจริงที่ผมยกมานี้เป็นส่วนน้อย ถ้าจะเอาให้หมดก็พูดไม่หวาดไหว ด้วยเหตุนี้ อาจารย์ปรีดีจึงได้ฉายาว่า มันสมอง ของคณะราษฎร
จากที่กล่าวมานี้ เราจะได้เห็นผู้นำคนสำคัญ 2 คนของคณะราษฎรคือพระยาพหลฯกับอาจารย์ปรีดี
ต่อมาเกิดผู้นำคนสำคัญขึ้นอีกคนหนึ่งของคณะราษฎร คือหลวงพิบูลสงครามซึ่งต่อมาเป็นจอมพลป.พิบูลสงครามนั้นโน้มเอียงไปในทางสร้างระบอบเผด็จการทหาร จึงเป็นผู้นำระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับพระยาพหลฯและอาจารย์ปรีดี ผู้นำคนสำคัญของคณะราษฎรมีเพียง 3 คนนี้เท่านั้น นอกนั้นเป็นผู้นำที่ไม่สำคัญ อย่างเช่น พลโทประยูร พระยาทรงฯ ท่านก็เป็นผู้นำแต่ไม่สำคัญ
ทีนี้ลองเปรียบเทียบผู้นำสำคัญ 3 คนกันดู อาจารย์ปรีดีเป็นคนเดียวที่ใครๆยอมรับว่าเป็น มันสมอง ของคณะราษฎร พระยาพหลฯและหลวงพิบูลฯไม่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นมันสมองของคณะราษฎร และหลวงพิบูลอยู่ในระดับต่ำ เพราะโน้มเอียงทางสร้างระบอบเผด็จการทหารดังกล่าวแล้ว และเป็นผู้นำอยู่ได้เพียง 6 ปีเท่านั้น แต่อาจารย์ปรีดีเป็นผู้นำมาตลอดอายุของคณะราษฎร คือตั้งแต่วันก่อตั้งคณะราษฎรเมื่อพ.ศ. 2470 จนถึงวันสิ้นสุดของคณะราษฎรเมื่อเสร็จสงครามโลกครั้งที่สอง หมายความว่าอาจารย์ปรีดีเป็นผู้นำคณะราษฎรจนหมดอายุของคณะราษฎรซึ่งเป็นเวลาเกือบ 20 ปี แต่เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้อาจารย์ปรีดีเป็นผู้นำที่เหนือกว่าผู้นำคนอื่นของคณะราษฎรคือ ความเป็นมันสมองของคณะรษษฎร ความเป็นมันสมองหมายความถึงความเป็นผู้นำทางการเมืองนั่นเอง ความเป็นผู้นำของพระยาพหลฯแม้ว่าจะสำคัญเพียง แต่ก็สำคัญในด้านความเป็นผู้นำทางทหาร ความเป็นผู้นำทางการเมืองและทางทหารนั้น ถ้าเป็นผู้นำทางการเมืองและทางทหารนั้น ถ้าเป็นอย่างถูกต้องอยู่ในคนๆเดียวกันก็ดีที่สุด แต่ถ้าแยกกันอยู่ในคนละคน ผู้นำทางการเมืองย่อมสำคัญกว่าผู้นำทางทหาร ผู้นำทางการเมือ เพราะความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการปฏิวัติประชาธิปไตย ชี้ขาดด้วยความเป็นผู้นำทางการเมืองว่าถูกหรือผิด
ฉะนั้น ผู้นำทางการเมืองของคณะปฏิวัติประชาธิปไตย ซึ่งจะเรียกว่ามันสมองหรืออะไรก็แล้วแต่ จึงเป็นผู้นำที่แท้จริงของคณะปฏิวัติประชาธิปไตย
อาจารย์ปรีดีเป็นผู้นำทางการเมืองซึ่งได้ฉายาว่าเป็นมันสมองของคณะราษฎรตั้งแต่ต้นจนจบ ผมจึงเห็นว่าอาจารย์ปรีดีเป็นผู้นำที่แท้จริงของคณะราษฎร และเห็นว่าทรรศนะที่ว่าอาจารย์ปรีดีไม่ใช่ผู้นำที่แท้จริงของคณะราษฎรนั้นไม่ถูกต้อง