Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
 
อุปสรรคความสำเร็จการปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทย ตอน ๑๒
 
เขียนโดย ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร โพส  ๒๙ กันยายน ๒๕๕๒ : ๑๓.๒๕ น.
 
ตอบวิทยากรกอรมน.เรื่องเมืองไทยต้องเป็นสาธารณรัฐและเอกสาร 6601
  
 
 
                (ต่อจากตอนที่แล้ว)
 
              
 
                ก่อนที่จะพูดถึงปัญหาอาจารย์ปรีดีต่อไป ผมขอชี้แจงคำกล่าวของคนบางกลุ่มที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม  และเรื่องนั้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาจารย์ปรีดีอยู่บ้าง เพราะมีบุคคลในคณะของอาจารย์ปรีดีได้ยินได้ฟังได้รู้ได้เห็นอยู่ด้วยเหมือนกัน  และเวลานี้ก็ยังมีตัวอยู่ในกรุงเทพฯ นั่นคือคำกล่าวของบางคนที่เรียกว่า “วิทยากรความมั่นคงแห่งชาติ” ในนิตยสาร “ปฏิญญา” ฉบับที่ 235
 
               ข้อความตอนหนึ่งใน “ปฏิญญา” ฉบับนั้น กล่าวถึงการปราศรัยของวิทยากรฯในวันเลือกประธานชมรมฯที่หอประชุมคุรุสภาเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2526 ว่าดังนี้
 
               “ท่านที่ 2 คือ พ.ต.อ.อารีย์ สุชาโต ซึ่งกล่าวว่า ตอนที่ตนรับราชการอยู่นั้น  ได้รับเชิญจากเหมาเจ๋อตุง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้ไปเยือน 3 เดือน ซึ่งในตอนแรกนั้นก็คิดว่าจะให้ไปทัศนาจร  แต่เมื่อไปถึงเมืองจีนปรากฏว่า ในช่วง 3 เดือนนั้น กลายเป็นการสัมมนาไป  และได้พบกับเพื่อนคนไทยซึ่งลี้ภัยการเมืองอยู่ที่นั่นหลายสิบคน ซึ่งในจำนวนนี้มีประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ผิน บัวอ่อน อุดม สีสุวรรณอยู่ด้วย และในขณะนั้น นายประเสริฐได้ให้ข้อคิดว่า “เมืองไทยเรานั้นต้องด้อยพัฒนาตราบจนทุกวันนี้ เพราะระบอบการปกครองไม่ถูกต้อง ถ้าเมืองไทยสามารถเปลี่ยนเป็นระบอบสาธารณรัฐได้ เมื่อนั้นเมืองไทยจะไปสู่ความเจริญก้าวหน้า” พ.ต.อ. อารีย์ กล่าวต่อไปว่า “เมื่อคุณประเสริฐเข้าไปมีบทบาทระดับสูงในกลุ่มทหารประชาธิปไตยแล้ว ก็ได้เขียนแนวความคิดออกมาต่างๆมากมาย โดยเฉพาะในเอกสาร 6601 นั้น” พ.ต.อ.อารีย์ได้ทิ้งท้ายไว้ให้สมาชิกวิทยากรคิดว่า “มันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อนายประเสริฐ นำแนวความคิดมาให้คนไทยเป็นคอมมิวนิสต์” นี่คือข้อความจาก “ปฏิญญา”
     
              การสร้างเรื่องของคุณอารีย์นี้ ผมได้ว่าเอาทีหนึ่งแล้ว ซึ่งเขานิ่งไป และมานั่งกินข้าวกลางวันด้วยกัน คุยกันเป็นปกติ  นึกว่าการสร้างเรื่องนี้จะยุติแล้ว แต่ก็ยังเอามาแสดงอยู่อีก

              คือวันหนึ่ง วันเดือนปีจำไม่ได้ ประมาณสัก 2 ปีมาแล้ว วิทยากรกลุ่มนี้ได้เชิญผมไปบรรยายให้พวกเขาฟังที่สโมสรทหารผ่านศึก เมื่อบรรยายแล้วมีการซักถาม คุณอารีย์ลุกขึ้นถาม ผมยังยึดถือความเห็นเดิมอยู่หรือเปล่าที่พูดกันในโรงแรมที่ปักกิ่ง ผมถามว่าความเห็นอะไร คุณอารีย์ตอบว่าความเห็นที่ผมเสนอในการสัมมนาที่โรงแรมปักกิ่งว่าเมืองไทยต้องเป็นสาธารณรัฐ ผมงงและบอกคุณอารีย์ว่า ผมไม่เคยเสนอความเห็นนี้  และไม่เคยมีการสัมมนาที่โรงแรมปักกิ่ง คุณอารีย์จำผิดแล้ว คุณอารีย์จำผิดแล้ว คุณอารีย์ยืนยันว่าผมพูด ผมบอกว่าเรื่องนี้ไม่มี คุณอารีย์จำผิดหรือไม่ก็สร้างเรื่องขึ้นเอง ผมไม่เคยพูดอย่างนี้ที่ไหน และไม่เคยคิดแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ  คุณอารีย์ใส่ร้ายผม ผมยืนยันเด็ดขาดว่าเรื่องที่คุณอารีย์เอามาพูดนี้ ไม่มีและไม่จริง  แล้วคุณอารีย์ก็นั่งลง วันนั้นอภิปรายเสร็จแล้วมีเลี้ยงอาหารกลางวันด้วย  วิทยากรหลายคนนั่งร่วมโต๊ะคุยกับผมรวมทั้งคุณอารีย์ก็ดูท่าทางพูดกันดีๆอยุ่ แต่แล้วคุณอารีย์ก็ยังใส่ร้ายผมอีก ผมจึงต้องขอชี้แจงอีก และขอชี้แจงให้ชัดเจนกว่าวันที่ตอบคุณอารีย์ที่สโมสรทหารผ่านศึกสักหน่อย

               ที่คุณอารีย์บอกว่าเหมาเจ๋อตุงเชิญเขาไปเมืองจีนนั้น ไม่จริง เวลานั้น ดูเหมือนพ.ศ. 2500 รัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงคราม เริ่มติดต่อทางลับกับรัฐบาลปักกิ่ง และค่อยๆเปิดเผยขึ้นทีละน้อย ทางจีนจึงเชิญส.ส.และพ่อค้าไปเยือน เป็นคณะสิบกว่าคน คุณเทพ โชตินุชิต เป็นหัวหน้าคณะ มีส.ส.อื่นอีกหลายคน ที่จำได้มีคุณแคล้ว คุณประภาส คุณทิม ฝ่ายพ่อค้ามีคุณเอี่ยม เป็นต้น พักที่โรงแรมอะไรจำไม่ได้ แต่ไม่ใช่โรงแรมปักกิ่ง

                การไปเยือนเมืองจีนตอนนั้นยังผิดกฎหมายอยู่ แต่รัฐบาลยอมให้ไป แต่กลับมาก็ต้องจับกุมกันเป็นพิธี
      
               เมื่อคณะผู้แทนไทยไปถึง คนไทยที่อยู่ในปักกิ่งอย่างเปิดเผยก็มาเยี่ยมเยียนกัน ต่างก็ดีอกดีใจเป็นพิเศษที่ได้พบเพื่อนคนไทย ผมเป็นคนหนึ่งที่มาเยี่ยม
 
               เมื่อได้พบปะ ก็ได้รู้ว่าในคณะผู้แทน เกิดปัญหาขึ้นปัญหาหนึ่ง คือมีคุณอารีย์ สุชาโตติดมาด้วย และเพิ่งรู้ชัดว่าคุณอารีย์เป็นสปายก๊กมินตั๋ง  เวลานั้นคอมมิวนิสต์จีนกำลังต่อสู้กับก๊กมินตั๋งและอเมริกาอย่างดุเดือด  เขาจึงระวังสปายก๊กมินตั๋งและอเมริกันกันมากเมื่อคณะผู้แทนไทยที่จีนเชิญไปเกิดรู้ชัดว่าเอาสปายก๊กมินตั๋งไปด้วยคนหนึ่ง จึงพากันรู้สึกไม่สบายใจ อย่างน้อยก็ในแง่มารยาท  มีการถามกันว่าใครเป็นคนเอาคุณอารีย์มา   ในที่สุดก็ได้ตัว คือ คุณทิม ภูริพัฒน์ ทางจีนเชิญคณะผู้แทนไทยโดยมีคุณเทพ โชตินุชิตเป็นหัวหน้า สุดแล้วแต่คุณเทพจะจัดใครเข้า เป็นคณะ  และคุณเทพไม่ได้จัดโดยตรงทุกคนแต่ให้พรรคพวกจัดต่อๆกันไป  ปรากฏว่าคุณอารีย์เที่ยววิ่งหาคนโน้นคนนี้   เพื่อขอเข้าคณะไปด้วยคน ก็ไม่มีใครยอมรับ เพราะต่างคนก็สงสัยคุณอารีย์อยู่แล้ว  ในที่สุดมาขอร้องคุณทิมขอเป็นคนติดตาม  คุณทิมแกเป็นคนตามสบาย(เคยเดินตกท่อข้างถนนน้ำลึกเกือบจมน้ำตาย เคราะห์ดีมีคนมาพบช่วยไว้ทัน จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเทศบาลฐานไม่ปิดฝาท่อ ทำให้คนตกลงไปเกือบตาย  คุณทิมชนะความ)  เห็นคุณอารีย์มาขอร้องอ้อนวอนก็เชื่อ บอกกับเพื่อนฝูงว่าไม่เป็นไรๆ แต่พอไปถึงเมืองจีน ถูกทางจีนต่อว่าหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ผมเห็นพรรคพวกกันเองเขาเล่นงานคุณทิมกันในเรื่องที่แกพาคุณอารีย์เป็นคนติดตามไป  โดยหัวหน้าคณะก็ไม่รู้ชัดเจนว่าใครเป็นใคร ผมไปเยี่ยมเพื่อนคนไทยด้วยกันไม่กี่ครั้ง และไม่ได้คุยอะไรกันมาก  เช่นเดียวกับคณะของอาจารย์ปรีดีก็ไปเยี่ยมเหมือนๆกับผม ไม่ได้มีการสัมมนาสัมมะแนอะไรกันสักนิดเดียว ไม่เชื่อลองถามคนที่ไปและคนที่พบ ซึ่งยังมีตัวอยู่หลายคนเดี๋ยวนี้ดูสิครับ รู้สึกว่าพวก “วิทยากรฯ” จะเป็นโรคสัมมนาขึ้นสมอง จึงสร้างเรื่องสัมมนาขึ้นใส่ร้ายผม
     
              ส่วนคนอื่นที่คุณอารีย์อ้างว่าพบก็ไม่จริง คุณผิน บัวอ่อน เวลานั้นอยู่ร่วมกับผมที่ปักกิ่ง แต่เขาอยู่อย่างไม่เปิดเผย ผมเวลานั้นเป็นสมาชิกพคท.คนเดียวที่อยู่อย่างเปิดเผยในปักกิ่ง คนไทยไปอย่างเปิดเผยจึงได้พบกันทุกคณะ คนที่อยู่ไม่เปิดเผยเขาไม่ออกมาพบใครหรอกครับ ส่วนคุณอุดม สีสุวรรณ เวลานั้นอยู่เมืองไทย ไม่ได้ไปเมืองจีน และที่ว่าพบผู้ลี้ภัยการเมืองคนไทยหลายสิบคนก็ไม่จริง เพราะผู้ลี้ภัยการเมืองมีแต่คณะอาจารย์ปรีดี ซึ่งมีไม่ถึง 10 คนส่วนผมไม่ใช่ผู้ลี้ภัย ผมไปศึกษา
 
                เมื่อคุณอารีย์กลับเมืองไทยแล้ว  ก็เขียนหนังสือเล่มใหญ่โจมตีจีนคอมมิวนิสต์พิมพ์ขาย ผมได้เห็นแต่ไม่ได้อ่าน เพราะรู้แล้วว่าคนเขียนเป็นอะไร  จึงรู้สึกว่าไม่มีคุณค่าที่จะอ่าน  ในคณะที่คุณเทพเป็นหัวหน้าไปเยือนจีน มีคุณอารีย์คนเดียวเท่านั้นแหละครับ ที่กลับมาเขียนหนังสือโจมตีจีน ผมจึงรู้ชัดว่าที่ได้ยินคณะเขาแสดงความไม่สบายใจกันที่เอาสปายติดไปคนหนึ่ง ก็เป็นความจริง เพราะผมไม่รู้จักคุณอารีย์มาก่อน ในคณะของคุณเทพมีสปายก๊กมินตั๋งเพียงคนเดียว คือคุณอารีย์นี่แหละ
   
               จากข้อเท็จจริงนี้ จะเห็นได้ว่า ในขณะที่จีนคอมมิวนิสต์ต่อสู้อย่างดุเดือดกับก๊กมินตั๋ง  ประธานเหมาเจ๋อตุงจะเชิญสปายก๊กมินตั๋งไปเยือนจีนทำไมครับ

               ฉะนั้น เมื่อคุณอารีย์ลุกขึ้นถามผมที่สโมสรทหารผ่านศึกตามที่เล่าข้างต้น ผมจึงงง แต่เมื่อนึกถึงฐานะหน้าที่ของคุณอารีย์แล้ว ก็ไม่แปลก เพราะฐานะหน้าที่ของแกคือการสร้างเรื่องใส่ร้ายคนอื่นตามแบบฉบับของคนที่ทำงานชนิดนั้น
 
               ผมเพิ่งรู้วันนั้นเองว่าคุณอารีย์เป็นวิทยากรคนหนึ่ง ทีแรกผมจำตัวแกไม่ได้ ก่อนตอบยังบอกแกว่าคุณอารีย์อ้วนขึ้นมากจนผมจำเกือบไม่ได้ พอแกพูดถึงปักกิ่งจึงนึกออกว่าเป็นคุณอารีย์ และได้ยืนยันกับแกอย่างเด็ดขาดว่าคุณอารีย์สร้างเรื่อง จนแกเงียบและนั่งลง
 
                เมื่อพูดถึงวิทยากรฯเหล่านั้น ผมเคยถามเพื่อนว่า วิทยากรฯเหล่านั้นเขามีหน้าที่อะไร ได้รับคำตอบว่า มีหน้าที่คอยชี้ใครต่อใครว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และด่าคอมมิวนิสต์
 
               คำตอบนี้ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่า “วิทยากรฯ” นั้นคือคนประเภทใด เพราะเคยศึกษาประวัติของประเทศที่แพ้คอมมิวนิสต์ เช่นรัสเซีย จีน อินโดจีน ฯลฯ ในประเทศเหล่านั้นก่อนที่จะแพ้คอมมิวนิสต์ จะมีคนประเภทหนึ่งทำหน้าที่คอยชี้ว่าใครต่อใครเป็นคอมมิวนิสต์  เพื่อทำให้คนที่ถูกชี้ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ พากันเกลียดรัฐบาลเพราะเอาข้อหาคอมมิวนิสต์ไปเล่นงานเขา  และเมื่อมีคนคอยชี้ว่าใครต่อใครเป็นคอมมิวนิสต์ก็ทำให้เกิดบรรยากาศมีคอมมิวนิสต์เต็มบ้านเต็มเมือง บรรยากาศนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ช่วยให้พรรคคอมมิวนิสต์ยึดประเทศรัสเซีย จีน อินโดจีน ฯลฯ ได้  คนที่ทำหน้าที่ชนิดนี้ในประเทศเหล่านั้นเรียกชื่อต่างๆกัน แต่บ้านเราเรียกว่า “วิทยากรความมั่นคงแห่งชาติ” คนประเภทนี้เมื่อทำให้เกิดบรรยากาศมีคอมมิวนิสต์เต็มบ้านเต็มเมือง จากพรรคคอมมิวนิสต์ยึดประเทศได้แล้ว ก็หมดหน้าที่ จะเห็นได้ว่า ในรัสเซีย จีน อินโดจีน ฯลฯ ในปัจจุบัน ไม่มีคนประเภท “วิทยากรฯ” นี้แล้ว
 
                อีกด้านหนึ่ง ในประเทศที่ชนะคอมมิวนิสต์แล้ว ก็ไม่มีคนประเภท “วิทยากรฯ” นี้เหมือนกัน เพราะหน้าที่ชี้ใครต่อใครว่าเป็นคอมมิวนิสต์ไม่มีในประเทศเหล่านั้น ถึงจะเที่ยวชี้ก็ไม่มีใครเชื่อ อย่างในอังกฤษ อเมริกา อินเดีย ญี่ปุ่น ฯลฯ จะมี่คนประเภท “วิทยากรฯ” อย่างคุณอารีย์เลย
 
                เนื่องจากผมเคยศึกษาลัทธิคอมมิวนิสต์  ผมจึงรู้ได้ว่า การที่ประเทศไทยเปลี่ยนนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์เป็นนโยบายต่อสู้คอมมิวนิสต์ ตามนโยบาย 66/23 นั้น จะทำให้ประเทศไทยชนะคอมมิวนิสต์เหมือนประเทศที่ชนะคอมมิวนิสต์ทั้งหลายในไม่ช้านี้  แล้ว”วิทยากรฯ” เหล่านั้นก็จะสูญหายไปเอง เพราะไม่มีอะไรทำคือ ไม่สามารถจะเที่ยวชี้ใครต่อใครว่าเป็นคอมมิวนิสต์อีกต่อไป
 
               คนประเภทนี้ในประเทศที่แพ้คอมมิวนิสต์จะเรียกชื่อในภาษาเขาว่าอย่างไรก็แล้วแต่ แต่จะต้องมีคุณสมบัติเหมือนกันตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ จะต้องมีความไม่รู้ ......เช่นไม่รู้ประชาธิปไตย  ไม่รู้คอมมิวนิสต์  ไม่รู้เผด็จการ ฯลฯ  จึงเป็นความเขลาและความโง่ คนที่มีความรู้ มีความฉลาด มีปัญญา จะไม่สามารถทำหน้าที่คอยชี้ใครต่อใครว่าเป็นคอมมิวนิสต์ได้ อย่างเช่น “วิทยากรฯ” บ้านเราที่ชี้ “ลัทธิประชาธิปไตย” ที่ผมเขียนว่าเป็นคอมมิวนิสต์นั้น ต้องมีความไม่รู้ มีความโง่และความเขลาจึงจะชี้ได้ เพราะคนมีความรู้ มีความฉลาด มีปัญญา เขาย่อมรู้ว่าลัทธิประชาธิปไตยกับลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นคนละลัทธิที่ตรงกันข้ามคือลัทธิประชาธิปไตยเป็นลัทธิการเมืองของชนชั้นกลาง ลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นลัทธิการเมืองของชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งสองชนชั้นนี้ตรงกันข้ามกัน จึงมีลัทธิต่างกัน ยิ่งกว่านั้น “วิทยากรฯ” บางคนยังชี้ว่า ลัทธิประชาธิปไตยที่ผมเขียนคือลัทธิประชาธิปไตยแผนใหม่ ยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่ คนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้จึงจะเป็น”วิทยากรฯ” ได้  หรืออย่างเช่นที่ชี้ว่า เอกสาร 6601 เป็นเอกสารที่ผมเขียนหรือลอกจากผมไป ก็เป็นตัวอย่างของความไม่รู้ ผมเองยังไม่เห็นเอกสารนั้น พยายามขอร้องให้พรรคพวกหามาให้ดูสักเล่ม จนป่านนี้ยังไม่ได้ แล้วผมจะไปเขียนมันได้อย่างไร  หรือถ้าจะว่าลอกไปจากบทความลัทธิประชาธิปไตยที่ผมเขียน เขาลอกไปจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือลอกผิดลอกถูกอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าเอกสารนั้นว่าเรื่องลัทธิประชาธิปไตย   ลัทธิประชาธิปไตยมันเป็นสัจธรรม สัจธรรมนั้นแต่ละคนศึกษาได้เองรู้ได้เอง ไม่ต้องใครลอกใคร และสัจธรรมมีเพียงหนึ่ง ไม่มีสอง ถ้าต่างคนรู้สัจธรรมก็จะพูดอย่างเดียวกัน จะพูดต่างกันได้อย่างไร ถ้า 6601 ลอกลัทธิประชาธิปไตยที่ผมเขียนและลอกถูก ก็เป็นการลอกของดี มันจะเสียหายตรงไหน และรู้ได้อย่างไรว่าเขาลอกจากผม เพราะเวลานี้ทหารเขาก็ศึกษาคอมมิวนิสต์และศึกษาประชาธิปไตย เขาสามารถรู้สัจธรรมได้ไม่จำเป็นต้องลอกใคร ถ้าใครพูดเหมือนผมในเรื่องประชาธิปไตย ก็แสดงว่าเขารู้สัจธรรมเท่าผม ซึ่งต่างคนต่างศึกษามาจากคนละทาง การกล่าวหาว่า 6601 ลอกจากผมเป็นการดูถูกคนอื่นว่าไม่มีหัวคิดไม่มีสมองนี่ก็เป็นความโง่เขลาอย่างหนึ่งของคนที่เรียกว่า “วิทยากรฯ”
 
              และด้วยความไม่รู้  ความโง่ และความเขลา ซึ่งเป็นคุณสมบัติของคนพาล เขาจึงสามารถสร้างเรื่องใส่ร้ายคนอื่นอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น  อย่างเช่นใส่ร้ายผมว่า จะทำประเทศไทยให้เป็นสาธารณรัฐ  ทั้งๆที่ผมยืนยันมาโดยตลอด ทั้งวาจา การเขียน และการกระทำว่า เมืองไทยต้องเป็นราชอาณาจักรตลอดไปและมิใช่ผมยืนยันอย่างเลื่อนลอย หากยืนยันด้วยเหตุผลของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และทางสังคมของชนชาติไทย เหตุผลของผมหนักแน่นพอที่จะทำให้คนหลงผิดยอมรับมามากต่อมากแล้วว่า ประมุขแห่งรัฐของประเทศไทยจะต้องเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดไป จะเป็นสถาบันอื่นมิได้ อย่างน้อยที่สุดจะดูได้จากข้อเขียนของผมในบทความเรื่อง “ประชาธิปไตย” ที่พิมพ์จำหน่ายเป็นหมื่นๆ เล่มเมื่อปี 2509 และเคยนำออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเป็นประจำอยู่หลายเดือน แต่ไม่ได้บอกชื่อผู้เขียน อีกแห่งหนึ่งคือบทความเรื่อง “จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร” ซึ่งเป็นบทความยาว ลงยังไม่จบ “ตะวันใหม่” ปิดเสียก่อน ผมส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์และลัทธิประชาธิปไตยมากเพียงใด ถ้าคนนั้นไม่ใช่คนพาลแล้ว จะไม่สามารถพูดออกมาได้เลยว่าผมต้องการทำให้เมืองไทยเป็นสาธารณรัฐ เป็นเผด็จการ หรือเป็นคอมมิวนิสต์
 
                 “วิทยา” เป็นรูปศัพท์สันสกฤต คำเดียวกับ “วิชา” ซึ่งเป็นรูปศัพท์บาลี แปลความว่า ความรู้ ความฉลาดปัญญา “อากร” แปลว่า กอง หมู่ หรือบ่อเกิด “วิทยากร” หรือ “วิชากร” จึงแปลว่าบ่อเกิดแห่งความรู้บ่อเกิดแห่งความฉลาด บ่อเกิดแห่งปัญญา
 
                  ส่วนความไม่รู้ ความโง่ และความเขลานั้น ตรงกับรูปศัพท์สันสกฤตว่า “อวิทยา” และตรงกับรูปศัพท์ลาลีว่า “อวิชชา”
 
                  แต่ผมได้กล่าวมาแล้วว่า คนที่ทำหน้าที่อย่างคุณอารีย์ในประเทศที่แพ้คอมมิวนิสต์นั้น ต้องมีความไม่รู้มีความโง่ และมีความเขลา เป็นคุณสมบัติที่จำเป็น นัยหนึ่ง จะต้องมี “อวิทยา” หรือ “อวิชชา” ฉะนั้นผมจึงไม่เรียกคนประเภทคุณอารีย์ สุชาโต ว่า ”วิทยากร” แต่เรียกว่า “อวิทยากร” หรือ “อวิชากร” แปลว่าผู้เป็นบ่อเกิดแห่งความไม่รู้ แห่งความโง่ และแห่งความเขลา
 
                  การรักษาความมั่นคงแห่งชาตินั้นต้องใช้ความรู้ ความฉลาด และปัญญา จึงจะรักษาได้ คนที่มีแต่ความไม่รู้ มีแต่ความโง่ มีแต่ความเขลา นัยหนึ่ง มีแต่อวิทยาหรืออวิชชานั้น ไม่มีทางที่จะรักษาความมั่นคงแห่งชาติได้เลย หากจะทำได้ก็แต่ทำลายความมั่นคงแห่งชาติเท่านั้นเอง  ผมจึงเปลี่ยนฐานะของคุณอารีย์ สุชาโตให้ใหม่จาก “วิทยากรความมั่นคงแห่งชาติ” เป็น “อวิทยากรทำลายความมั่นคงแห่งชาติ” หรือ “อวิชากรทำลายความมั่นคงแห่งชาติ” คำไหนก็ได้ แล้วแต่จะเลือกเอา
 
                  นี่ผมหมายเฉพาะวิทยากรประเภทคุณอารีย์ สุชาโตนะครับ ไม่หมายถึงวิทยากรอย่างอื่น ซึ่งเป็นผู้มีความรู้และทำประโยชน์ในสาขาวิชานั้นๆ อย่างแท้จริง
 
                  เรื่องคุณอารีย์ไปปักกิ่ง คนในคณะของอาจารย์ปรีดีรู้เรื่องจริงกันหลายคน จึงจัดว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาจารย์ปรีดีอยู่บ้างก็ได้เหมือนกัน
 
                  อนึ่ง ใน “ปฏิญญา” ฉบับนั้น อวิชชากรฯอีกบางคน ใส่ร้ายผมในหลายๆเรื่อง เช่นว่า ผมไปพูดที่ร้านอาหารศรแดง เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2515 ซึ่งในวันนั้นผมไม่ได้ไปที่ร้านศรแดงเลย การกล่าวหาใส่ร้ายในเรื่องอื่นๆผมไม่สนใจ  แต่การกล่าวหาว่าผมคิดจะทำให้ประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐเป็นคำกล่าวหาใส่ร้ายที่ร้ายแรงเท่าๆกับที่หม่อมคึกฤทธิ์เคยกล่าวหาว่า คอมมิวนิสต์กลับใจ 2 คนเป็นภัยต่อชาติ (แต่ท่านไม่ได้ออกชื่อผม เป็นแต่คนเข้าใจว่าหมายถึงผม)  ผมจึงเห็นควรชี้แจงให้เข้าใจความจริง ดังที่เคยชี้แจงเกี่ยวกับคำกล่าวหาของหม่อมคึกฤทธิ์ ซึ่งผมชี้แจงไว้ในคอลัมน์ “ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร” เรื่อง “ปัญหาคอมมิวนิสต์กลับใจ” ซึ่งพิมพ์จำหน่ายหลายเดือนมาแล้ว.....

 
 
 
 
 
 
 
 

              
 
 
 
               (อ่านต่อตอนหน้า)
 
 
 
 
 
             อ่านย้อนหลัง...
 
 
 
 
 
 
 

ปฏิวัติสันติ

 
สมัคร ยกเลิก
 
 
Revolutionary Press Agency
Online Journal and News Agency for Peace  :  วารสารและข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
Copyright © 2024 www.rpathailand.com All Rights Reserved.
ทำเว็บ  ออกแบบเว็บ  Web Design  เว็บสำเร็จรูป  เว็บไซต์สำเร็จรูป