สำนักสื่อปฏิวัติ - Revolutionary Press Agency (RPA)
เขียนโดย นางแก้ว โพส ๑๘ พ.ย.๒๕๕๒: ๑๒.๕๐ น.
เผยแพร่ครั้งแรก ๒๕ เม.ย.๒๕๔๙
ธรรมนูญชีวิต VS การร่างรัฐธรรมนูญที่ไร้ชีวิต 75 ปีแห่งสัญญาจองจำการยื้อแย่งอำนาจขุดหลุมฝังแนวทางรุนแรง VS การเกิดใหม่ของแนวทางสันติวิธีในขบวนการประชาชน |
ณ วันที่เขียนบทความนี้เกิดปรากฏการณ์มหกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแก้ปัญหาชาติเป็นการยกใหญ่
แต่ดูเหมือนจะเป็นปรากฏการณ์เชิงลบของการปฏิบัติการโดยคณะร่างผ่านองค์การจัดตั้งที่รู้จักกันในนามสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สรน.) สื่อมวลชนรายงานต่อเนื่องถึงข้อขัดแย้ง ความไม่ลงรอยต่างๆ ของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ราวงานประชาสัมพันธ์ระดับชาติของงานเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์หรือมหรสพโรงหนึ่ง
นี่คือชีวิตจริง ไม่ใช่นวนิยาย !
วิกฤตปัญหาการร่างรัฐธรรมนูญก่อตัว บ่มเพาะ ใกล้แตกหัก พังทลายลงทุกที การตอบโต้ ขัดแย้ง ไม่ลงรอย เกิดจากการขัดผลประโยชน์ การแบ่งเขาแบ่งเรา การถือตัว ถือดี และความพยายามสงวนไว้ซึ่งโครงสร้างอำนาจเดิมของพวกตนให้มากที่สุด กำลังทำลายประเทศชาติให้พังทลายลงโดยคนส่วนน้อยกลุ่มหนึ่งในสังคมที่ถูกครอบแล้วด้วยอวิชชา การต่อสู้เช่นนี้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่มีส่วนด้วย แต่ในฐานะผู้นั่งดู ประชาชนเริ่มเห็นภัยวิบัติ หายนะของลัทธิรัฐธรรมนูญอยู่เบื้องหน้า
นี่คือสิ่งสะท้อนตลอดเวลาว่าลัทธิรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ลัทธิประชาธิปไตย และคือสิ่งที่ขบวนการประชาธิปไตยใช้ในการอธิบายมาโดยตลอด
ปราชญ์เมธีท่านหนึ่งอ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ผู้สืบทอดแนวทางการสร้างประชาธิปไตยพระปกเกล้ารัชกาลที่ 7 เขียนไว้ว่า
ในวัฒนธรรมการคิดของเรา เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นมักนึกถึงเฉพาะกรรมที่เป็นปัจเจกบุคคลเท่านั้น โดยขาดความเข้าใจ กรรมของระบบ ว่าระบบเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของบุคคล และของสถาบันอย่างสำคัญ เหมือนดังว่าในเรือที่กำลังวิ่งอยู่ในมหาสมุทรบนเรือมีผู้โดยสารหลากหลาย มีทั้งพระอรหันต์ และโจร ทั้งหมดมีชะตากรรมร่วมกันในระบบคือเรือ เรือนั้นมีรูรั่ว คนบนเรือมัวแต่ทุ่มเถียงกันว่าใครธรรมะสูงกว่าใคร โดยไม่สนใจไปอุดรูรั่วของเรือ เรือจึงจม ทำให้ทั้งพระอรหันต์และโจรถึงแก่ความตายด้วยกันทั้งหมด
ในต้นพ.ศ. 2550 อาการ วิปลาสทางปัญญา ในหมู่นักวิชาการและชนชั้นปกครองในสายรัฐธรรมนูญนิยมบ้านเราหนักข้อกว่านั้น คือไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ากำลังนั่งอยู่บนเรือ และกำลังล่องเรือเพื่อจะไปไหน นอกจากไม่รู้ว่าเรือกำลังจะล่มแล้วยังไม่รู้ว่าจะนั่งเรือไปทำไม หรือไปที่ใด ถ้าหากว่ารู้แต่แรกก็คงไม่กระโดดขึ้นเรือลำเดียวกันเพื่อตั้งหน้าตั้งตาทะเลาะกันแบบไม่ลืมหูลืมตาราวถูกจิตวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงเช่นนี้
ทำไมขัดแย้งกันเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ ?
คนปัจจุบันจำนวนมากมองชีวิตทุกวงการเป็นการต่อสู้ระหว่างผลประโยชน์ที่ขัดกัน เกิดเป็นฝ่ายนายจ้างกับลูกจ้าง รัฐบาลกับราษฎร คนมีกับคนจน และแม้แต่หญิงกับชาย หรือลูกกับพ่อแม่ เมื่อคนถือเอาทรัพย์และอำนาจเป็นจุดหมายของชีวิต สังคมก็กลายเป็นสนามต่อสู้ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวที่ขัดกัน เราก็เลยต้องหาจริยธรรมมาปกป้องผลประโยชน์เหล่านั้น นี่คือ จริยธรรมเชิงลบ กล่าวคือ สังคมยึดหลักผลประโยชน์แบบเห็นแก่ตัว โดยถือสิทธิของแต่ละคนที่จะแสวงหาความสุข แล้วเราก็เลยต้องหาจริยธรรมดังเช่น สิทธิมนุษยชน มาคอยกีดกั้นและกันไว้ไม่ให้คนมาเชือดคอหอยกัน ในระหว่างที่กำลังวิ่งหาความสุขนั้น............หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็น จริยธรรมเชิงบวก ประโยชน์สุขคือจุดหมาย หาใช่ทรัพย์และอำนาจไม่ พระพุทธศาสนาถือว่าสังคมเป็นสื่อกลาง ที่ช่วยให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันที่จะพัฒนาตนเอง และเข้าถึงประโยชน์สุขได้มากที่สุด และนำเอาจริยธรรมมาใช้เพื่อเกื้อหนุนจุดหมายที่กล่าวนี้
โชคดีเป็นอย่างยิ่ง ประเทศไทยมีปราชญ์เมธีทางพุทธและมีหลักพุทธธรรมที่ทำให้เห็นความบกพร่องของวิธีคิดแบบจริยธรรมเชิงลบของตะวันตกจนสามารถวิจารณ์ได้ทะลุปรุโปร่ง พระพรหมคุณาภรณ์ ธรรมปิฎก (ป.ปยุตโต) เขียนเรื่องนี้ไว้อย่างหลักแหลม ในบทนำของหนังสือชื่อ ธรรมนูญชีวิต หรือหนังสือที่มีชื่อเดิมว่า คู่มือดำเนินชีวิต ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2519 และได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษโดย Bruce Evans ได้รับการพิมพ์เผยแผ่นับครั้งไม่ถ้วน
ทำไมคนจึงมองชีวิตที่ผลประโยชน์ คำตอบก็ง่ายๆคือ ได้รับประโยชน์ไม่เท่ากัน ก็เลยเอาประโยชน์ตนไว้ก่อน ประโยชน์คนอื่นไว้ทีหลัง มองในมุมของปัจเจกก็คือยังไม่สามารถยังประโยชน์ตนได้จึงไม่สามารถยังประโยชน์คนอื่นได้ มองในแง่มุมของรัฐก็คือการไม่สามารถจัดสรรผลประโยชน์ให้คนส่วนใหญ่ได้เสมอภาคเท่าเทียมกัน กล่าวโดยสรุปก็คือการจัดสรรประโยชน์เชิง วัตถุ ไม่ถ้วนทั่วทุกตัวคน วัตถุในที่นี้หมายถึงปัจจัยสี่รวมทั้งเหตุปัจจัยอันกำหนดรูปแบบสิทธิและการคุ้มครองทางกฎหมายที่จะได้มาซึ่งปัจจัยสี่นั้น เมื่อสังคมวัตถุพัฒนาสุดโต่ง สังคมเปลี่ยวเหงา เกิดความต้องการปัจจัยที่ห้าหรือหกตามมา การจัดสรรผลประโยชน์ยิ่งยากขึ้นตามสภาพสังคมอันสลับซับซ้อน และเมื่อไม่สามารถสนองต่อความต้องการของปัจเจกชนได้ การเรียกร้องสิทธิ์ หาความเสมอภาค จึงก่อตัวเป็นคลื่นกระทบฝั่งไม่มีที่สิ้นสุด จากการเรียกร้องสิทธิทางวัตถุก็เริ่มเป็นเรียกร้องทางกฎหมาย ให้กฎหมายคุ้มครอง รองรับซึ่งความต้องการนั้นๆ
จะสังเกตเห็นว่า สังคมตะวันตกเริ่มเรียกร้องสิ่งที่เป็นนามธรรม สำแดงการ มี และการ เป็น ตัวตนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นการเรียกร้องสิทธิ์แต่งงานของเกย์ การร้องหาความเสมอภาคสิทธิสตรี ฯลฯ ซึ่งเป็นการเรียกร้องถึงสิ่งที่ขาดหายไปทางอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ทั้งสิ้น (แต่ยังไม่เคยมีการเรียกร้องหาความเท่าเทียมกันทางจิตวิญญาณ ) เกิดองค์การจัดตั้งเรื่องสิทธิมนุษยชนเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในระดับนานาชาติขึ้น เป็นการสร้างความเสมอภาคแบบดาหน้า
ไม่น่าแปลกใจที่เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันของนักรัฐธรรมนูญนิยมบ้านเราที่ไม่ยอมทำความเข้าใจว่า วิชากฎหมายที่ร่ำเรียนมาจากตะวันตกนั้น ไม่มีวันสอดคล้องกับสังคมไทย ไม่ว่าจะพยายามเขียนร่างสักเพียงใด การขัดกันทางทฤษฎีเชิงโครงสร้าง การถกปัญหาเรื่องการคัดสรรกรรมการ การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ล้วนแล้วแต่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุทั้งสิ้น
กฎวัฒนธรรมใหญ่กว่ากฎหมายเสมอ ปราชญ์ราชบัณฑิต กล่าวไว้ ข้อนี้เห็นได้ชัด
หลักคิดของรัฐธรรมนูญตามหลักประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่ก่อรูปขึ้นตามระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมตามกลไกสังคมอันซับซ้อนขึ้นหลังการพัฒนาอุตสาหกรรม จึงเป็น ประชาธิปไตยแบบวัตถุ พัฒนามาจากหลักสิทธิประโยชน์ที่พระเจ้าประทานมา ซึ่งไม่ใช่หลักคิดพื้นฐานของคนไทยมาแต่อดีต หากเข้าใจและยอมรับข้อเท็จจริงอันนี้จึงจะยอมรับอย่างปราศจากอคติได้ว่า นักกฎหมายประเทศไทยไม่ว่าจะอ้างตำรา ฝรั่งเศส อังกฤษ หรืออเมริกา ล้วนแล้วแต่ไม่รู้จัก รากเหง้าแห่งปัญหาของแก่นแท้ความเป็นมนุษย์ (Human Essence) ของตนเองทั้งสิ้น
ในเมื่อวัฒนธรรมไทยมิได้พัฒนามาจาก วัตถุ การร่างกฎหมาย เพื่อบังคับใช้ของชนชั้นปกครองไทยที่ขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงทางวัฒนธรรม จึงกลับกลายเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์อันน่าเศร้าปนตลก ตัวอย่างเช่น การออกกฎหมายบังคับให้สามีหอมแก้มภรรยาก่อนออกจากบ้าน บังคับให้ใส่หมวก การห้ามกินหมาก ในสมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 จอมพลป.พิบูล สงคราม ฯลฯ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการล่วงละเมิดกฎวัฒนธรรมของคนไทย เป็นแนวคิดและวิธีการบังคับขืนใจประชาชน และเมื่อกลไกอำนาจของผู้ปกครองกลุ่มนี้หมดไป กฎหมายดังกล่าวก็หมดความหมายตามไปด้วย แต่วัฒนธรรมการกินหมากของชาวไทยก็ยังคงอยู่
ปัญหาประเทศประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่แก้ไม่เสร็จ เกิดเพาะเชื้อเนื้อหน่อขึ้นในบรรดานักเรียนนอกแต่โบราณ ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนวิชากฎหมายมาจากฝรั่งเศส ความพยายามเปลี่ยนแปลงประเทศตามรูปแบบประชาธิปไตย เขา แต่มิใช่แบบ เรา นับแต่คณะราษฎร และสืบทอดต่อเนื่องมายังนักกฎหมายมีชั้นเชิงชุดปัจจุบันที่คมช.และรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของพล.อ สุรยุทธ์ กำลังเผชิญอยู่
75ปี ของสัญญาจองจำการยื้อแย่งอำนาจวิบัติแห่งวิปลาสทั้ง 4
พุทธศาสนาอธิบายกระบวนการของผู้ที่จะไม่บรรลุธรรมไว้ 4 ลักษณะ คือสัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิษฐิวิปลาส ๔ ประการ เห็นว่ามีตัวตน เห็นว่างาม เห็นว่าไม่เที่ยง เห็นว่ามีสุขมีทุกข์
เช่นเดียวกับการพยายามทำความเข้าใจถึงวิกฤตการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ มีความสำคัญผิดว่ารัฐธรรมนูญเป็นของเที่ยง เห็นว่ารัฐธรรมนูญบันดาลสุขได้ เห็นรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ (มีตัวมีตน) เห็นว่าสูงส่ง (งาม) เห็นว่าศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ ซึ่งเกิดจากอาการวิปลาส ทั้ง4 แต่ถ้าหากได้ศึกษาประวัติศาสตร์ชาติสยามอีกแง่มุมหนึ่งก็จะพบว่า ความศักดิ์สิทธิ์แท้จริงไม่ใช่รัฐธรรมนูญแต่เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีอยู่จริง แต่รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมา การยึดมั่นถือมั่นว่ารัฐธรรมนูญมีตัวมีตนจนเกินความพอดี โดยไม่รู้ว่าที่แท้จริง รัฐธรรมนูญคือเงาที่อยู่ในน้ำสะท้อนเป็นภาพออกมาให้เห็น รัฐธรรมนูญกลายเป็นภาพลวงตาที่ไม่มีจริง (Illusion)
วิธีการแก้ปัญหาของการร่างรัฐธรรมนูญคือการทำความเข้าใจก่อนว่าจะมีรัฐธรรมนูญเพื่ออะไร สอดคล้องกับหลักการหรือวิธีคิดแบบไหน อย่างไร
ปัญญาจะเกิดขึ้นได้จากการสาวหาเหตุของปัญหาสำเร็จ การแก้ปัญหาด้วย สัญญา แบบเดิมๆ คือสัญญาที่มีระยะเวลาเพียง 75 ปี ยังทันต่อการลบความทรงจำนั้น รัฐธรรมนูญที่ผ่านมาคือสัญญาจองจำวิธีคิด บดบังปัญญาและการเข้าถึงความจริงแท้ (Reality)ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า วิธีเดียวที่จะแก้อาการวิปลาส4 นี้ได้ ก็จากสัมมาทิษฐิ (Right Theory)เพื่อให้ภาพลวงตาหายไป (Disillusion)
แท้จริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับนักประชาธิปไตยที่มองเห็นปัญหานี้แต่ต้น ผู้รู้จริงวิจารณ์ปรากฏการณ์นี้ไว้ตั้งแต่ปี 2475 คือเมื่อ 75ปีที่แล้วมา มิใช่ใครที่ไหนหากแต่เป็นพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต นั่นก็คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ดังปรากฏในพระราชบันทึกว่า
" ข้าพเจ้าได้พยายามตักเตือนและโต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลาว่า ควรถือหลัก Democracy อันแท้จึงจะถูก ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชน ซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบDemocracy อันแท้ มิฉะนั้นก็เป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่ ในเวลาที่ฐานะของบ้านเมืองเราอยู่ในขีดคับขันและยากจน.....เมื่อคณะผู้ก่อการได้ประกาศว่า จะขอพระราชทานให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบรัฐธรรมนูญนั้น คนไทยที่มีความรู้ย่อมโมทนาทั่วไป แต่เมื่อกลายเป็นยึดอำนาจกันเฉยๆ ไม่ได้ทำให้มีเสรีภาพทางการเมืองมากขึ้น ก็จะกลายเป็นขมขื่นกลืนไม่ลง เพราะผลร้ายของการปกครองแบบ Absolute มิได้เสื่อมคลาย แต่เปลี่ยนตัวเปลี่ยนคณะกันเท่านั้น......"
ทว่าประชาชนชาวไทยไม่ได้รับรู้พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจมากนักเนื่องจากหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา การกลบฝังข้อมูลบางด้านก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ว่าแท้จริงแล้วลัทธิรัฐธรรมนูญแพร่ขยายในประเทศไทยภายใต้ชื่อประชาธิปไตยอย่างผิดหลักเกณฑ์มานับแต่นั้น
คณะราษฎรเมื่อยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์สำเร็จ ก็ได้หาสิ่งอื่นมาทดแทนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ นั่นก็คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่สามารถทดแทนได้ เพราะวิถีชีวิตของคนไทยผูกพันกับพระมหากษัตริย์มาช้านาน ความศักดิ์สิทธิ์ (สำเร็จประโยชน์) ของพระมหากษัตริย์ไทยปรากฏชัดและสัมผัสได้จริงทุกยุคสมัย ความเป็น ธรรมราชา ของพระภัทรมหาราช รัชกาลปัจจุบันยิ่งสูงส่งทรงพลัง สัมผัสใจของราษฎรทุกหมู่เหล่า ยิ่งกว่าคติ เทวราชา ที่นักวิชาการสายคอมมิวนิสต์นิยมโจมตีว่าเป็นเพียง มายาคติ
กฎหมายรัฐธรรมนูญของคณะราษฎรจึงปราศจากความศักดิ์สิทธิ์โดยสิ้นเชิงนับแต่วันที่เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา ถึงแม้ว่าจะพยายามเพียงไรที่จะกลบฝังบทบาทและพระราชประวัติของรัชกาลที่ 7ออกจากระบบความทรงจำของคนไทยแล้ว ในพ.ศ.นี้ยังกลับกลายเป็นเงื่อนปมปัญหาส่งผลต่อความล่าช้าของการปฏิวัติประชาธิปไตยระหว่างมวลหมู่มหาประชาชนกับพระมหากษัตริย์อีกด้วย มรดกทางความคิดอันเลวร้ายก็ได้รับการสืบทอดต่อมาจวบจนกลายเป็นประเด็นโต้แย้งของกลุ่มผู้หวัง โหน อำนาจอย่างมิรู้เหนื่อย กล่าวได้โดยประจักษ์ชัดว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ 17 ฉบับในประเทศไทยไม่เคยมีความศักดิ์สิทธิ์ (สำเร็จประโยชน์) เลยแม้แต่น้อย
ครั้งหนึ่งปราชญ์ราชบัณฑิตเคยศึกษาปัญหาโครงสร้างฟอนเฟะอันเกิดจากโครงสร้างจอมปลอมนี้และเสนอทางออกว่า หากคนไทยเรียนรู้ที่จะใช้พระราชอำนาจในทางที่ถูก ก็จะเห็นเองว่าควรประสานประโยชน์จากพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยอย่างไรหากเข้าใจ ธรรมราชา พระราชาผู้ทรงธรรมอย่างถ่องแท้ พระมหากษัตริย์คือตัวแทนแห่งธรรมที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจทั้งสาม (นิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ)
แต่คนไทยไม่รู้จักองค์คุณเอกภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงไม่รู้จักใช้กลไกสถาบันอันศักดิ์สิทธิ์นี้เพื่อสร้างความไพบูลย์รุ่งเรืองให้กับประเทศชาติ มิหนำซ้ำยังประสงค์ร้าย จ้องทำลาย โดยไม่ดูข้อเท็จจริงตามเหตุปัจจัย
ในวิถีแห่งปัญญา ปราชญ์ราชบัณฑิตย่อมไขว่คว้าหาผู้รู้มาช่วยอธิบายปรากฏการณ์ที่น่าเบื่อหน่ายของการทะเลาะเบาะแว้งของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักปกครอง การถามย้อนกลับมาเพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างความคิดเดิม และอุดมการณ์เดิมๆ ของการสร้างรัฐธรรมนูญ อาจเป็นหนทางที่หาคำตอบได้ ในท่ามกลางวิกฤตศรัทธา กระแสสังคมจึงมุ่งตรงสู่สถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะตัวแทนของคุณความดี ความชอบธรรม ความเป็นผู้ทรงธรรม เป็นปราชญ์บัณฑิตที่จะกอบกู้หายนะประเทศนี้ได้ และในขณะที่ประชาชนกำลังก้าวเข้าสู่วิถีแห่ง สัมมา ปัญญา แต่ชนชั้นผู้ปกครองและนักวิชาการกำลังก้าวเข้าสู่หุบเหวแห่งความไร้ปัญญา ปรากฏชัดจากอาการสัญญาวิปลาสของการแก้ปัญหาโดยมีรัฐธรรมนูญ 17 ฉบับเป็นเครื่องจองจำ
ไทยไตรยางคธรรม.....สู่ประชาธิปไตยแบบไทย
คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าในยุคสมัยที่พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงปฏิวัติสันติครั้งยิ่งใหญ่ (Great Peaceful Revolution) เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมด้วยการเลิกทาสนั้น สยามประเทศร่ำรวยมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์กว่าสหราชอาณาจักรอังกฤษ ความพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของพระมหากษัตริย์ไทยที่เริ่มต้นในรัชสมัยของพระองค์มิได้มีเหตุปัจจัยมาจากสภาพความบีบคั้นทางเศรษฐกิจของราษฎรและแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเงื่อนไขของโครงสร้างทางเศรษฐกิจอันสืบเนื่องจากการพัฒนาสู่สังคมอุตสาหกรรมของชาติตะวันตกราวขาวดำ การเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยการเลิกทาสในประเทศไทยเป็นไปเพื่อสนองต่อความมั่นคงภายในจิตใจมนุษย์คือให้มนุษย์ด้วยกันรู้สึกมีค่า มีความมั่นคงในจิตใจ เป็นการจัดระบบความสัมพันธ์เสียใหม่จากนายทาส ข้าทาส มาสู่การเป็นพสกนิกรโดยยึดหลักความเสมอภาคและหลักเสรีภาพ มิใช่เงื่อนไขความบีบคั้นทางวัตถุ และเป็นการกรุยทางสู่การปฏิวัติสูงสุดของมนุษย์คือมนุษยปฏิวัติ (Human Revolution) คือการปฏิวัติทางจิตวิญญาณนั่นเอง
จึงกล่าวได้ว่ารากฐานของการเปลี่ยนแปลงที่พระพุทธเจ้าหลวงทรงริเริ่มเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายใน (Internal) มิใช่จากภายนอก (External) มิใช่เชิงกายภาพ (Physical) การทำให้ลุถึงการเปลี่ยนแปลงให้เกิดมรรคผลจึงมองเห็นไม่ชัด และกระทำให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในระยะเวลาอันจำกัดนั้นเป็นไปไม่ได้ ย่อมต้องใช้เวลาในการปรับฐาน สร้างความรู้ความเข้าใจอย่างยิ่งยวดในหลากหลายมิติ ระหว่างนั้นในท่ามกลางบรรยากาศการเผชิญหน้ากับภัยจากลัทธิล่าอาณานิคมที่ข่มขู่คุกคามจากภายนอก เกิดภัยอันตรายภายในขึ้นจากลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบและสามารถเข้ามาทำลายโครงสร้างภายในได้ในกาลต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้ารัชกาลที่ 7 การปฏิวัติสูงสุดจึงหยุดชะงักลงนับแต่นั้น
หากวิเคราะห์ตามหลักอิทัปปัจจัยตา ตามหลักว่าสิ่งนั้นมี จึงมีสิ่งนี้ เพราะไม่มีสิ่งนั้นในอดีต จึงไม่มีสิ่งนี้ในปัจจุบันและต่อเนื่องถึงอนาคต การมีอยู่ซึ่งกฎวัฒนธรรมหนึ่งๆ ย่อมต้องการกฎหมายและที่มาของหลักการปกครองที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงตามกฎของวัฒนธรรมนั้นๆ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงใดๆ เพื่อสิ่งใหม่จึงต้องคำนึงถึงสิ่งที่มีมาแต่เดิมอย่างแท้จริง คณะราษฎรต้องการการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งใหม่แต่เข้าไม่ถึงกฎเกณฑ์แห่งสัจธรรมนี้ จึงทำให้เกิดรอยต่อแห่งความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์เกิดขึ้นด้วยการละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า ไทยไตรยางคธรรม คือสถาบันกษัตริย์ ชาติ ศาสนา อยู่ร่วมกันอย่างสอดประสาน และเป็นตัวบ่มเพาะวัฒนธรรมและจารีตประเพณี แตกต่างจากวัฒนธรรม กระฎุมพี หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมของตะวันตกอย่างสิ้นเชิง
ความอยากแห่งยุคสมัย โดยคณะราษฎร ผู้เข้าไม่ถึงกฎเกณฑ์แห่งสัจธรรม ทำให้ยึดการปฏิวัติสังคมด้วยการสถาปนาลัทธิประชาธิปไตยของชาติตะวันตกเป็นต้นแบบและละเลยความพยายามสถาปนาลัทธิประชาธิปไตยโดยพระมหากษัตริย์ไทยและบทบาทอันสำคัญนับแต่รัชกาลที่ 5จนถึงรัชกาลที่ 7 นอกจากจะเป็นการผิดพลาดทางประวัติศาสตร์อย่างมหันต์ ยังผิดหลักปฏิจจสมุปบาทตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมและส่งผลสำแดงฤทธิ์เดชของความผิดพลาดนี้เบ็ดเสร็จในยุคของรัฐบาลฟาสซิสต์ของคุณทักษิณ ชินวัตรนั่นเอง
75 ปีผ่านไป กลไกการปกครองเผด็จการรัฐธรรมนูญ ทำให้ชาติไทยกลายเป็นชาติยากจน พร้อมๆกับทิ้งระบบความคิดของลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมแบบเดิมๆ และ ปัญหาเดิมค้างคาอยู่โดยมิได้รับการแก้ไข ระบบความคิดแบบเดิมคือระบบการตั้งค่าสมการชีวิตมนุษย์ไว้เป็นระนาบเดียว ด้วยการกำหนดศักดิ์และสิทธิ์ของรัฐธรรมนูญหรือธรรมนูญแห่งรัฐให้สูงส่งเกินความจำเป็น แต่ในข้อเท็จจริงเป็นเพียงซากกระดาษไร้ชีวิตเขียนไว้เหมือนสูตรคณิตศาสตร์ที่ไม่มีวันเข้าถึงมิติอื่นของชีวิตมนุษย์
การร่างกฎหมายด้วยการละเมิดกฎวัฒนธรรมเดิมจึงมิควรเกิดขึ้นซ้ำซากอีกต่อไป !!
การร่างรัฐธรรมนูญอันไร้ชีวิตของ ผู้ใหญ่หัวนอก ทั้งหลายจึงสมควรยุติลง !!
การกำหนดธรรมนูญชีวิตอยู่รวมกันโดยประชาชน ปราชญ์ราชบัณฑิตที่เข้าใจเหตุปัจจัยต้องมาก่อน.....เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม !!
(อ่านต่อตอนหน้า)
|