เมื่อเวลาประมาณ 15.20 น.เศษของวันที่ 10 ธันวาคม ตัวแทนคณะธรรมยาตรานำพานประชาธิปไตยไปวางทับหมุดทองเหลืองที่ฐานพระบรมรูปทรงม้าเนื่องในโอกาสวันรัฐธรรมนูญว่าเพื่อประกาศว่ารัฐธรรมนูญมิใช่ประชาธิปไตยและให้เปลี่ยนจากมิจฉาทิฎฐิมาเป็นสัมมาทิฎฐิ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพานดังกล่าวมีตราข้างในเป็นธรรมจักรอยู่วงใน มีรูปแผนที่ประเทศไทย และธงชาติอยู่รอบนอก เขียนว่า "ณ ที่นี่ประเทศไทย สถาบันพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๕ ๖ และ ๗ ทรงสร้างประชาธิปไตยให้ชาติไทยเจริญ" คณะตัวแทนได้นำเอาไปตั้งอยู่ทับบนหมุดทองเหลือง โดยอธิบายว่าคณะราษฎรได้ทำการยึดอำนาจไปจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๗ อย่างไม่ถูกต้อง และไม่ได้สร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นจริงในประเทศไทย เป็นเพียงลัทธิรัฐธรรมนูญเท่านั้น
หลังจากนั้นในเวลา 21.00 น. คณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาดินแดนในกรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 20 คนและพระสงฆ์อีกประมาณ ๑๐รูป นำโดยพระสงฆ์นำโดยพระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร ประธานสภาธรรมาธิปไตยแห่งชาติ เจ้าอาวาสวัดตะล่อม กรุงเทพ และพระครูพนม ศีลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดเขาโต๊ะ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ได้เดินทางไปที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อทำพิธีสวดชยันโตอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นนายสมาน ศรีงาม ประธานคณะธรรมยาตราฯได้ทำการอ่านคำประกาศในต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ เป็นเวลาประมาณเกือบสิบนาที จึงแยกย้ายกันกลับ
นายสมานได้อ่านเนื้อความในคำประกาศบางส่วนระบุว่า คณะราษฎรได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรและนำขึ้นทูลเกล้าต่อสมเด็จพระปกเกล้าทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 และต่อมารัฐบาลได้กำหนดให้เป็น วันรัฐธรรมนูญ เป็นวันที่พระราชทานรัฐธรรมนูญ มิได้พระราชทานประชาธิปไตย เพราะคณะราษฎรได้ยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ไปเป็นของคณะตนแล้ว และได้เกิดการบิดเบือนให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย จนทำให้เกิดปัญหาวิกฤตทางปัญญาแก้ปัญหาชาติไม่ลุล่วงจนถึงปัจจุบัน
หมุดทองเหลืองที่รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามซึ่งเป็นรัฐบาลเผด็จการได้ฝังไว้ที่ลานพระบรมรูปทรงม้านั้น ได้สร้างความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ)ว่า รัฐธรรมนูญทำให้ชาติเจริญ จึงสร้างรัฐธรรมนูญกันขนานใหญ่ หรือใช้รัฐธรรมนูญไปเป็นเครื่องมือพัฒนาชาติ จนได้รัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ ความเห็นผิดนี้ไปบดบังการยกเลิกการปกครองแบบเผด็จการ สร้างประชาธิปไตย จึงทำให้การปกครองแบบเผด็จการยังดำรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ จึงเกิดเป็นลัทธิรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นลัทธิเผด็จการขึ้นในประเทศไทย
ความเห็น ทฤษฎีรัฐธรรมนูญทำให้ชาติเจริญ ตรงข้ามกับความเห็นหรือ ทฤษฎีประชาธิปไตยทำให้ชาติเจริญ ของพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราช 3 พระองค์ คือ ร.5 ร.6 และ ร.7 ซึ่งได้ทรงใช้ทฤษฎีนี้สร้างชาติสมัยใหม่ หรือรัฐแห่งชาติ (Nation State) คือ สยามรัฐ ซึ่งเป็นรัฐเอกราชสำเร็จมาแล้ว การสร้างรัฐแห่งชาติ เป็นมาตรการแรกที่สุดของการสร้างประชาธิปไตย ร.5 ทรงสร้างประชาธิปไตยในขั้นตอนที่ 1 ได้สำเร็จสมบูรณ์ มีผลอันใหญ่หลวง สามารถรักษาเอกราชของชาติไว้ได้ และเป็นการนำพาประเทศชาติขึ้นสู่ความเจริญศิวิไลซ์ทันสมัย (Modernization) เป็นรากฐานอันแข็งแกร่งให้แก่การสร้างประชาธิปไตยในขั้นตอนต่อมา นี่คือข้อพิสูจน์ยืนยันความถูกต้องของทฤษฎีประชาธิปไตย ทำให้ชาติเจริญ ของพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5 และผู้สืบทอดทฤษฎีนี้ต่อมา เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง 2 ทิฏฐิหรือทฤษฎีในการนำไปปฏิบัติจนเกิดผล
นายสมานกล่าวว่า 40 ปี ของทฤษฎีประชาธิปไตยทำให้ชาติเจริญโดยพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 จนถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เป็นช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2435 พ.ศ.2475 ส่งผลให้ประเทศเจริญรุ่งเรือง แต่77 ปี ของทฤษฎีรัฐธรรมนูญทำให้ชาติเจริญ ระหว่าง พ.ศ. 2475 พ.ศ. 2552 กลับได้ผลผลคือ กลียุควิกฤติที่สุดในโลก
พระมหาบุญถึงกล่าวว่าการกำหนดฤกษ์เวลา 15.20 น.นั้นถือเป็นฤกษ์แห่งชัยชนะ คือการเอาชนะมิจฉาทิฎฐิการเห็นผิดว่ารัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยด้วยความเห็นถูก การเอาพานวางทับหมุดของคณะราษฎรเท่ากับเป็นการแก้ไขทางสัญลักษณ์แล้ว และจะต้องมีการอธิบายเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องให้ประชาชนรับทราบต่อไป โดยมีพระครูพนม ศีลาจารย์เจ้าอาวาสวัดเขาโต๊ะจากจังหวัดสุรินทร์ร่วมแสดงเจตนารมณ์ด้วย
ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน นายมนัส เดชเสน่ห์ ผู้อำนวยการโรงเรียนประชาธิปไตยแห่งชาติได้ทำการปีนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยขึ้นไปด้านบน โดยมีแผ่นป้ายไวนิลเขียนว่า รัฐธรรมนูญไม่ใช่ประชาธิปไตย และถูกนำตัวไปสอบสวนที่สน.สำราญราษฎร์ โดยนายมนัสได้อธิบายเหตุผลเดียวกันว่า คณะราษฎรนำโดยนายปรีดี พนมยงได้เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินด้วยการรัฐประหารรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ที่กำลังสร้างประชาธิปไตยขั้นตอนสุดท้ายคือ สละอำนาจของพระองค์ให้เป็นของปวงชนชาวไทยและเปลี่ยนจากการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญ นายมนัสได้ยื่นจดหมายเปิดถึงนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมาให้ทำการเปลี่ยนชื่ออนุสาวรีย์จาก อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาเป็นอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ
พอสร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญแต่ตั้งชื่อว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า รัฐธรรมนูญคือประชาธิปไตย นิสิตนักศึกษาสมัยตุลาต้องการประชาธิปไตยโดยเจตนารมณ์ จึงออกมาเดินขบวน จนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ต้องเสียเลือดเนื้อนิสิตนักศึกษาประชาชนจำนวนมาก แต่ไม่ได้ประชาธิปไตย ได้แต่รัฐธรรมนูญ เรียกร้องอะไร ก็ย่อมได้สิ่งนั้น เมื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญก็ได้รัฐธรรมนูญ คือได้รัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. 2517 แต่ไม่ได้ประชาธิปไตยเพราะไม่ได้เรียกร้องประชาธิปไตย ต่อมาก็กลายเป็นระบอบเผด็จการรัฐประหารกับระบอบเผด็จการรัฐสภาหรือเปลี่ยนจากการปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายมาเป็นการปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย นายมนัสกล่าว
นายมนัสกล่าวว่าทุกวันรัฐธรรมนูญเขาได้ทำการปีนขึ้นอนุสาวรีย์ทุกปีติดต่อกันมาถึง 4 ปีเพื่อต้องการอธิบายเรื่องนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยมีคนยอมรับฟัง