|
|
|
|
พระพุทธรูปในสมัยนี้ ส่วนใหญ่ยังได้รับอิทธิพลมาจากสมัยสุโขทัย แต่มีการนำเอาศิลปะดังกล่าวมาประยุกต์ให้เหมาะสมกับท้องถิ่น ของอยุธยา สันนิษฐานกันว่าในสมัยอยุธยาบ้านเมืองอยู่ในภาวะศึกสงครามรบราฆ่าฟันกันอยู่บ่อยครั้ง ทำให้สกุลช่างสมัยอยุธยาไม่มีโอกาสที่จะได้สร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้พระพุทธรูปแข็งกระด้างไม่อ่อนช้อยเหมือนสมัยสุโขทัย และในสมัยนี้ยังพบพระพุทธรูปทรงเครื่องอีกด้วย การสร้างพระพุทธรูปในสมัยอยุธยา สามารถแบ่งออกเป็น ๒ ช่วง คือ พระพุทธรูปศิลปะแบบอู่ทอง (พุทธศตวรรษที่ ๑๘ -๒๐) แบ่งเป็น ๓ รุ่น |
|
|
พระพุทธรูปศิลปะแบบอู่ทอง รุ่นที่ ๑ |
พระพักตร์เหลี่ยม มีไรพระศก เป็นกรอบรอบวงพระพักตร์ แบ่งส่วนพระเกศากับพระนลาฏ เส้นพระเกศาละเอียด พระหนุค่อนข้างแหลม พระนาสิกค่อนข้างแบน พระโอษฐ์แบะ ชายสังฆาฏิยาว ชายขอบ อันตรวาสก(สบง) ด้านบนเป็นสัน ขัดสมาธิราบ พระหัตถ์แสดงปางมารวิชัย |
|
พระพุทธรูปศิลปะแบบอู่ทอง รุ่นที่ ๒ |
ลักษณะส่วนใหญ่เหมือนรุ่นแรก ที่ต่างกันคือ มีรัศมีเป็นเปลว พระพักตร์เป็นรูปสี่เหลี่ยมมากขึ้น พระนาสิกโค้งมากขึ้น พระหนุสี่เหลี่ยม |
|
พระพุทธรูปศิลปะแบบอู่ทอง รุ่นที่ ๓ |
ได้อิทธิพลจากศิลปะสุโขทัยเป็นส่วนใหญ่ พระพักตร์รูปไข่ เกิดจากพระนลาฏแคบ มีไรพระศกกับพระรัศมีมีแถบกั้นระหว่างพระนลาฏกับพระสก มีรัศมีเป็นเปลว พระวรกายเพรียวบางแบบศิลปะสมัยสุโขทัยพระพุทธรูปสมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๓) พระพุทธรูปในสมัยนี้ ส่วนใหญ่มีพระพักตร์เป็นรูปสี่เหลี่ยม แบบอู่ทอง บางองค์พระพักตร์เป็นรูปไข่ตามแบบสุโขทัย มีเกตุมาลาเป็นรัศมีเปลว ชายจีวรใหญ่ และยาวถึงพระนาภี ปลายตัดเส้นตรง ส่วนมากมีพระศก มีการพบพระพุทธรูปทรงเครื่องในสมัยนี้อีกด้วย | | |
|
พระพุทธรูปสมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๓) พระพุทธรูปในสมัยนี้ ส่วนใหญ่มีพระพักตร์เป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบอู่ทอง บางองค์พระพักตร์เป็นรูปไข่ตามแบบสุโขทัย มีเกตุมาลาเป็นรัศมีเปลว ชายจีวรใหญ่ และยาวถึงพระนาภี ปลายตัดเส้นตรง ส่วนมากมีพระศกมีการพบพระพุทธรูปทรงเครื่องในสมัยนี้อีกด้วย |
|
|
|
อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ นับตั้งแต่พ่อขุนบางกลางหาว ได้รับสถาปนาเป็นเจ้าเมืองสุโขทัยและประกาศอิสรภาพ ไม่ขึ้นกับขอมมีกษัตริย์ปกครองกรุงสุโขทัย ต่อเรื่อยมาอีกหลายพระองค์ จนอาณาจักรสุโขทัยเป็นปึกแผ่น
ในช่วงเวลานี้พระมหากษัตริย์ทรงทำการทำนุบำรุง พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี พุทธศาสนาในยุคสมัยนี้จึงเจริญรุ่งเรือง บรรดาพระสงฆ์พากันไปศึกษาพุทธศาสนาในลังกาเป็นอันมาก พระพุทธรูป ในยุคนี้ได้รับแบบอย่างมาจากลังกา อีกทั้งบ้านเมืองในสมัยสุโขทัยไม่ค่อยมีศึกสงคราม ทำให้สกุลช่างสุโขทัยสามารถสร้างสรรค์งานได้อย่างเต็มที่ พระพุทธรูปสมัยนี้ได้รับการยกย่องทั่วไปว่าเป็นยุคที่มีการสร้างพระพุทธรูปได้สวยงามมากที่สุด มีลักษณะคือ รัศมียาว เส้นพระศก(ผม)ขมวดก้นหอย พระขนง(คิ้ว)โก่ง พระนาสิก(จมูก)งุ้ม พระหนุ(คาง)เสี้ยมชายสังฆาฏิยาวปลายมี ๒ แฉก และย่น เป็นเขี้ยวตะขาบ ฐานส่วนใหญ่ เป็นแบบฐานเอียง กลางโค้งเข้า ด้านใน ตรงข้ามกับสมัยเชียงแสน พระพุทธรูป ในสมัยนี้ถือได้ว่าแบ่งออกเป็น ๓ รุ่น ด้วยกัน |
|
พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย รุ่นที่ ๑ |
มีวงพระพักตร์กลมแบบลังกา |
|
พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย รุ่นที่ ๒ |
มีวงพระพักตร์ยาวและ พระหนุเสี้ยม |
|
พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย รุ่นที่ ๓ |
น่าจะเริ่มสร้างในรัชสมัยพระมหาธรรมราขาหรือพระเจ้าลิไท เกิดพระพุทธรูปแบบสุโขทัยขึ้นแบบหนึ่ง ได้แก่ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ วงพระพักตร์รูปไข่คล้าย แบบอินเดีย ปลายนิ้ว พระหัตถ์ เสมอกันทั้ง ๔ | |
| |
|
สมัยเชียงแสน (สมัยล้านนา)
|
|
อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๒๒ อยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย หรือจังหวัดเชียงรายในปัจจุบัน ชาวไทยได้เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้มาแต่โบราณ ดังนั้นพระพุทธรูปในพื้นที่นี้จึงได้ชื่อว่า สมัยเชียงแสน ซึ่งเป็นฝีมือช่างไทยแรกเริ่มพระพุทธรูป ในสมัยนี้จึงถือว่าเป็นการเริ่มต้นของศิลปะไทยอย่างแท้จริง และมีอิทธิพลมาถึงศิลปะในสมัยสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์อีกด้วย พระพุทธรูป แบบเชียงแสน แบ่งได้ เป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ |
|
|
พระพุทธรูปรุ่นสิงห์ ๑ |
สันนิษฐานกันว่าน่าจะได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบปาละของอินเดีย องค์พระอวบ พระพักตร์สั้น พระขนงโก่ง พระโอษฐ์เล็ก พระหนุป้าน ชายสังฆาฏิสั้นอยู่เหนือพระอุระด้านซ้าย ตรงชายทำเป็นแฉกหรือแบบเขี้ยว ตะขาบ ส่วนมากเป็นพุทธรูปปางมารวิชัย นั่งขัดสมาธิเพชร |
|
พระพุทธรูปรุ่นสิงห์ ๒ |
ส่วนใหญ่เหมือนรุ่นแรก แต่องค์พระจะอวบน้อยกว่าและชายสังฆาฏิจะยาวลงมาอยู่เหนือพระนาภี |
|
พระพุทธรูปรุ่นสิงห์ ๓ |
เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นแรกค่อนข้างมาก เพราะทำตามแบบสุโขทัยเป็นส่วนใหญ่ คือ พระรัศมีเป็นเปลว เส้นพระศกละเอียด มีไรพระศกระหว่างเส้นพระเกศากับพระนลาฏ ชายสังฆาฏิยาว ถึงพระนาภี ฐานแบบเอียงโค้งออก ส่วนมากเป็นปางมารวิชัยนั่งขัดสมาธิ |
| | |