บ้านไทยสี่ภาค

 
บ้านไทยสี่ภาค เป็นการจำลองบ้านไทยตามลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่เด่นชัดจาก ๔ ภาคในประเทศไทย ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง
ภาคอิสาน และภาคใต้ ภายในบ้านแต่ละหลังจำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในแต่ละภาค ที่สอดคล้องกับสภาพสังคมวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม
 
 
บ้านไทยภาคใต้

 
 
ภาคใต้เป็นบริเวณที่มีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างไปจากภาคอื่นๆของประเทศ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีฝนตกชุก เนื่องจากได้รับลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือและ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ทำให้ภาคนี้มีฝนตกชุก ตลอดทั้งปี ซึ่งกลายเป็นอิทธิพลสำคัญต่อการกำหนดรูปแบบเรือนพักอาศัยของประชาชนในภาคใต้ ลักษณะเรือนพักอาศัยของชาวใต้นั้นมักจะเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูง และเป็นเรือนแฝด และสามารถต่อขยายไปได้ตามลักษณะของครอบครัว มีชานเชื่อมต่อกัน ข้างฝาใช้ไม้กระดานหรือไม้ไผ่สาน มุงหลังคาด้วยวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น บ้างก็เพิ่มหรือ ลดระดับขั้นเรือนเพื่อแยกกิจกรรมต่างๆ ออกจากกันจึงทำให้เรือนไทยมุสลิมมีการเล่นระดับพื้นใต้ถุนเรือนใช้เป็นที่พักผ่อน เก็บของ หรือประกอบอาชีพเสริม เช่น ทำกรงนก

ลักษณะที่โดดเด่นของเรือนไทยทางภาคใต้ คือหลังคาที่มีทรงสูง มีความลาดเอียง ลงเพื่อให้น้ำฝนไหลผ่านได้อย่างสะดวก ชายคาต่อยาวออกไปคลุมถึงบันได เนื่องจากฝนตกชุกมาก เสาเรือนไม่นิยมฝังลงไปในพื้นดิน แต่จะใช้ "ตอม่อ" หรือฐานเสาที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ศิลาแลง หรือที่ทำจากการก่ออิฐฉาบปูนรองรับเป็นลักษณะเด่นของเรืองทางภาคใต้ เรือนไทย เรียกได้ว่าเป็นเรือนไทยที่มี "ตีนเสา" เพื่อป้องกันปัญหาการผุกร่อนของเสาเมื่อได้รับความชื้นจากพื้นมากๆ วิธีการสร้างนั้นจะประกอบส่วนต่างๆของเรือนบนพื้นดินก่อน แล้วจึงยกส่วนโครงสร้างต่างๆขึ้นประกอบเป็นตัวเรือนอีกทีหนึ่ง การวางตัวเรือนจะหันเข้าหาเส้นทางสัญจรทั้งทางน้ำและทางบก ซึ่งสามารถรับลมบกและลมทะเลได้การวางตัวเรือนแบบนี้ ทำให้คนทางภาคใต้หันหัวนอนไปทางทิศใต้เป็นหลัก รอบบริเวณบ้านไม่มีรั้วกั้นแต่จะปลูกไม้ผลเช่น มะพร้าว มะม่วง ขนุน หรือ กล้วย เอาไว้เป็นร่มเงาและแสดงอาณาเขตของบริเวณบ้านแทน นอกจากเรือนพักอาศัยแล้วยังมีอาคารประกอบบ้านเรือน ได้แก่ "ศาลา" ซึ่งมีรูปทรงหลังคาเปลี่ยนลักษณะไปตามความนิยมของรูปแบบของเรือนพักอาศัย และการสร้างก็ขึ้นอยู่ กับลักษณะการใช้สอย เช่น ใช้สำหรับพบปะสังสรรค์ หรือ เป็นศาลาริมทางประชากร ในภาคใต้ประกอบด้วยชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิมเป็นหลักทำให้มีขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมประเพณีที่หลากหลาย จะเห็นได้ชัดจากการใช้ภาษา มลายู และภาษาไทย เป็นต้น ชาวใต้ประกอบอาชีพทำประมง วิถีชีวิตผูกพันกับท้องทะเล เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่โอบล้อมด้วยทะเลทั้ง ๒ ฝั่ง บางพื้นที่ประกอบอาชีพกสิกรรม เช่นยางพารา เงาะ ทุเรียน ลางสาด และ ลองกอง เป็นต้น

วิถีชีวิตวัฒนธรรมพื้นบ้านของชาวภาคใต้ มาจากรากฐานของวัฒนธรรมพื้นบ้านในท้องถิ่นที่ได้สั่งสมความรู้และความประพฤติ สืบทอดกันมาตั้งแต่ ครั้งอดีตจนถึง ปัจจุบัน การดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายเครื่องแต่งกายของ ฝ่ายชาย จะนุ่งผ้าโสร่ง ใส่เสื้อคอกลม นิยมใช้ผ้าขาวม้าพาดบ่า ฝ่ายหญิง นิยมนุ่งซิ่น หรือผ้าปาเต๊ะ ใส่เสื้อคอกลม

เอกลักษณ์ประจำภาคใต้โดยเฉพาะฝ่ายหญิงต้องทอผ้าได้เอง มื้ออาหารของชาวใต้นั้น จะทานข้าวเจ้าเป็นหลักและทานอาหารรสจัด ปรุงแต่งสี กลิ่น รส ด้วยเครื่องเทศและสมุนไพร มีผักสดเป็นส่วนประกอบ อาหารที่สำคัญอยู่ในอาหารทุกมื้อ บ้านเรือนส่วนมากนิยมเลี้ยงนกไว้ กิจกรรมยามว่างมีการละเล่นและการแสดงที่สร้างความบันเทิงอย่างหนังตะลุง อันเป็นอีกวัฒนธรรมที่เป็นที่รู้จักและเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้ สภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างไปจากภาคอื่นๆของประเทศ เป็นบริเวณที่มีฝนตกชุก ความชื้นสูงมี 2 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อนและฤดูฝน ในฤดูร้อน อากาศจะไม่ร้อนจัดเหมือนภาคอื่นๆเพราะภาคนี้ได้รับลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือ และลมมรสุม ตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ภาคนี้มีฝนตกชุกตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นอิทธิพลสำคัญต่อการกำหนดรูปแบบเรือนพักอาศัยของประชาชนในภาคใต้
 
 
บ้านไทยภาคเหนือ
 

 
ลักษณะภูมิอากาศทางภาคเหนือค่อนข้างหนาวเย็น พื้นที่ส่วนใหญ่โอบล้อมไปด้วยหุบเขา ทำให้บ้านเรือนไทยภาคเหนือถูกออกแบบให้มีลักษณะมิดชิดเพื่อกันลมหนาว ผสมผสานกับความเชื่อและวัฒนธรรมในท้องถิ่นเป็นตัวกำหนด ทำให้เกิดเป็นโครงสร้างสถาปัตยกรรม แบบง่ายๆ ใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เป็นสถาปัตยกรรมท้องถิ่นหรือพื้นบ้าน ตามแบบวัฒนธรรมล้านนา
      
ลักษณะทั่วไปของเรือนทางภาคเหนือนิยมสร้างเป็นเรือนแฝด เรียกว่าเรือนสองหลังร่วมพื้นเป็นเรือนทึบ เนื่องจากฤดูหนาวทางภาคเหนือจะหนาวมาก ทำให้มีลักษณะเฉพาะทางรูปทรงหลังคาและสัดส่วนของเรือนเตี้ยกว่าเรือนไทยภาคอื่นๆฝาเรือนลาดเอียง โดยให้ตอนบนเอียง ออกด้านนอก มีหน้าต่างน้อย เจาะช่องหน้าต่างแคบๆ ช่วยป้องกันลมหนาวจากภายนอกและรักษาความอบอุ่นภายในตัวบ้านมี “เติ๋น” หรือระเบียงอยู่บริเวณหน้า เป็นส่วนที่อยู่ใต้ชายคามีเนื้อที่ ๒ เสา ใช้เป็นบริเวณอเนกประสงค์ นั่งเล่น หรือรับประทานอาหารจั่วด้านหน้าเรือน มีหิ้งพระพุทธรูป และมี "หำยนต์" ติดตั้งเหนือประตู เข้าห้องนอนรวม เป็นความเชื่อว่าสามารถป้องกันภัย อันตรายต่างๆ ไม่ให้เข้ามาในห้องนอน มีหิ้งผีปู่ย่า คือ ผีบรรพบุรุษ แต่บางแห่งก็ตั้งเป็นศาลเล็กๆ ไว้ในบริเวณบ้านนอกชานมีร้านน้ำสำหรับตั้งหม้อน้ำดื่ม บนยอดจั่ว หลังคามีป้านลมไขว้กันอยู่บนเรียกว่า "กาแล" ใต้ถุนยก สูงพอสำหรับเก็บ เครื่องใช้ในการเกษตร ตั้งหูกทอผ้า หรือยกเป็นร้านเตี้ยๆ ใช้นั่งรับแขก หรือนั่งเล่น และมี นอกชานตั้งอยู่ทางด้านจั่วตอนหน้าและตอนหลังของเรือน
 
วิถีชีวิตของชาวเหนือ วัฒนธรรมท้องถิ่นเรียกว่าวัฒนธรรม "คนเมือง" หรือ "คนล้านนา" ตามชื่อของอาณาจักรที่มีการปกครองแบบนครรัฐ ดำรงชีวิตแบบเกษตรกร ในสังคมมีการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณของบรรพบุรุษที่เรียกว่า "ผี" วิถีการดำเนินชีวิตเรียบง่าย เช่น ฝ่ายชายจะ นุ่งผ้าต้อย (แบบโจง กระเบน) หรือกางเกงขาก๊วย ใส่เสื้อคอกลมย้อมสีครามเรียกว่า "เสื้อม่อฮ่อม" และกางเกงเป้ายาวทรง หลวมที่เรียกกันว่า "เตี่ยวสะตอ" ฝ่ายหญิงจะนุ่งผ้าซิ่นลาย สวมเสื้อคอกลมแขนยาว อาหารของชาวภาคเหนือนั้น นิยมรับประทานข้าวนึ่งหรือข้าวเหนียวและลาบเป็นหลัก อาหารหรือกับข้าวจะใส่ถ้วยขนาดเล็กวางบนภาชนะที่เรียกว่า "ขันโตก" เป็นถาดที่มีขนาดพอดีกับการรับประทานบนพื้นเติ๋น
 
ชาวเหนือมีภาษาพูดที่มีความไพเราะอ่อนหวานแสดงถึงความสุภาพ อ่อนโยนในจิตใจ ความโอบอ้อมอารี และความเป็นมิตร ยามว่างจะทำ หัตถกรรมจักรสานและนำมาทำเป็นข้าวของเครื่องใช้ ในครัวเรือน การแสดงและการละเล่นมักจะแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดโดยผ่านภาษาวรรณกรรม ดนตรี และงานฝีมือที่ได้สั่งสมความรู้
 
 
บ้านไทยภาคอีสาน
 
 

 
การตั้งบ้านเมืองในภูมิภาคอีสานตั้งแต่สมัยโบราณ มักเลือกทำเลที่ตั้งอยู่ตามที่ราบลุ่มอันมีแม่น้ำสำคัญๆ เช่น น้ำโขง น้ำมูล น้ำชี น้ำพอง เป็นต้น นอกจากนี้ก็อาศัยตามริมหนองบึง ถ้าพื้นที่ใดเป็นที่ราบน้ำท่วมถึงก็ขยับขยายไปอยู่บนโคก เนิน เป็นส่วนใหญ่ การตั้งหมู่บ้านเรือนจะกระจุกรวมตัวกัน ต่างจากทางภาคกลาง ชาวอีสานมีความเชื่อในการสร้างเรือนให้ด้านกว้างหันไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก ให้ด้านยาวหันไปทาง ทิศเหนือและใต้ ซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่าวางเรือนแบบ "ล่องตาเว็น" เชื่อว่าหากสร้างเรือน "ขวางตาเว็น" และจะ "ขะลำ" คือเป็นอัปมงคล ทำให้ผู้อยู่ไม่มีความสุข
         
รูปแบบของเรือนไทยภาคอีสาน เสายกพื้นค่อนข้างสูง ทำให้มีพื้นที่ใต้ถุนสูงใช้เป็นที่ประกอบหัตถกรรมครัวเรือน ทอผ้า ใช้เก็บไห หมักปลาร้า เป็นคอกเลี้ยงสัตว์ เก็บอุปกรณ์ทำไร่ทำนาไปจนถึงจอดเกวียนหรือล้อก็ได้ ถือว่าเป็นบริเวณที่มีการใช้สอยมากที่สุด มักทำยุ้งข้าว ไว้ใกล้ๆเรือน หลังคาใช้วัสดุในท้องถิ่นคือมุงด้วยหญ้าหรือสังกะสี ฝาเรือนมักใช้ฝาแถบตอง โดยใช้ใบกุงหรือใบชาดมาประกบด้วยไม้ไผ่สานโปร่งเป็นตาตาราง หรือทำเป็นฝาไม้ไผ่สาน มีส่วนที่เรียกว่า "เกย" (ชานโล่งมีหลังคา คลุม) เป็นพื้นที่ลดระดับลงมาจากเรือนนอนใหญ่ มักใช้เป็นที่รับแขก ที่รับประทานอาหาร ส่วนของใต้ถุนจะ เตี้ยกว่าปกติ ใช้เป็นที่เก็บฟืน "ชานแดด" เป็นบริเวณนอกชานเชื่อมระหว่างเกย เรือนแฝดกับเรือนไฟ มีบันไดขึ้นด้านหน้าเรือน มี "ฮ้างแอ่งน้ำ" เป็นที่วางหม้อดินใส่น้ำดื่มอยู่ตรงขอบ ของชานแดด บริเวณรอบๆเรือนอีสานไม่นิยมทำรั้วเพราะเป็นสังคมเครือญาติ วัฒนธรรมไทยอีสานที่สืบทอดกันมา จนถึงปัจจุบันส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากกลุ่มชนในสายวัฒนธรรมไต-ลาว ซึ่งตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ตามแนวลำน้ำโขงฝั่งขวาที่อพยพ ถ่ายเทครัวเรือนมาสู่ฝั่งซ้าย คือภาคอีสานของไทย และเพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมใหม่จึงได้มีการ พัฒนาการทางสังคม การเมือง วัฒนธรรม ตลอดจนความเชื่อและศาสนาขึ้นใหม่จนเกิดเป็น "วัฒนธรรมไทยอีสาน"
 
ชาวภาคอีสานดำเนินชีวิตประจำวันแบบพึ่งตนเอง ฝ่ายชายชาวภาคอีสานมักนิยมนุ่งโสร่งหรือกางเกงขาก๊วย ใส่เสื้อคอกลม ใช้ผ้าขาวม้าคาดเอว ฝ่ายหญิงนิยมนุ่งผ้าซิ่น ใส่เสื้อคอกลมแขนยาว ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ประจำภาค โดยเฉพาะในอดีตผู้หญิงชาวบ้านทุกคนต้องทอผ้าที่ผลิตเองใช้เองโดยเฉพาะซิ่น แต่ละครอบครัวจะผลิตหลายอย่าง เช่น ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ ทอผ้า เครื่องจักสานและหาอาหาร ผลตอบแทนที่ได้จากการผลิต คือ ข้าว อาหาร เสื้อผ้า เครื่อง นุ่งห่มและเครื่องใช้ ซึ่งเพียงพอสำหรับทุกคนในครอบครัว การประกอบอาหารจึงใช้วัตถุดิบที่หาได้จากท้องถิ่น อย่าง เห็ด หน่อไม้หรือผักหวานจากป่า กุ้ง ปู ปลา จากแม่น้ำ หรือ เป็ด ไก่ จากการเลี้ยงไว้ใต้ถุนบ้าน ให้ความสำคัญเรื่องรสชาติอาหารนิยมกินอาหารสด เช่น ส้มตำ รับประทาน ข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก นิยมทอผ้าไหม มีลวดลายเป็น เอกลักษณ์ของภาคอีสาน การละเล่นและเครื่องดนตรี มีจังหวะที่ครึกครื้น สนุกสนาน อย่างหมอลำ และศิลปะการรำฟ้อนที่เรียกกันว่า "เซิ้ง" ชุมชน ในภาคนี้มีความเป็นหมู่คณะสูงทั้งในระดับครอบครัว และเครือญาติ ความเชื่อชาวอีสานยังคงเชื่อถือเรื่องผีต่างๆอยู่มาก เช่น ผีบรรพบุรุษ ผีนา ผีไร่ ผีปู่ตา (รักษาหมู่บ้าน) ทุกหมู่บ้านต้องสร้างศาลปู่ตา และประกอบพิธีเซ่นไหว้อยู่ เป็นประจำ อย่างพิธีบายศรีสู่ขวัญในโอกาสสำคัญ เช่น การแต่งงาน การบวช การเจ็บป่วย การต้อนรับแขกผู้มาเยือนพิธีกรรมต่างๆเกิดขึ้นเพื่อความสบายใจเป็นหลัก เช่น ประเพณีแห่ผีตาโขน บั้งไฟ แห่เทียนพรรษา และไหลเรือไฟ เป็นต้น
 
 
บ้านไทยภาคกลาง

 
 
ชุมชนบ้านเรือนในแถบภาคกลางเป็นสังคมเกษตรกรรมแถบพื้นที่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ ซึ่งมีแม่น้ำสายหลักๆอย่างแม่น้ำเจ้าพระยาแม่น้ำลพบุรี แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำสายอื่นๆ อีกมากมาย ชาวบ้านในภาคกลางจึงผูกพันและใช้ประโยชน์ต่างๆจากแม่น้ำ เนื่องจากภาคกลางมีภูมิอากาศที่ร้อนอบอ้าวเกือบจะตลอดทั้งปี คนจึงนิยมปลูกบ้านริมน้ำ ตัวบ้านสร้างขึ้นด้วยไม้เป็นเรือนชั้นเดียวแบบเรียบง่าย มีการออกแบบให้ป้องกันความอบอ้าวของอากาศ ฝนและแสงแดดจ้า โดยหลังคาจะมีลักษณะเป็นทรงสูง เพื่อให้ความร้อนจากหลังคาถ่ายเทความร้อนสู่ห้องได้ช้า และทำให้น้ำฝนไหลลงจากหลังคาได้รวดเร็วไม่มีน้ำขัง วัสดุมุงหลังคามักใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น หญ้าคาจากแฝก ตองตึงไม้ที่ตัดเป็นแผ่นเล็กๆ ที่นิยมกันมากคือกระเบื้องดินเผา ซึ่งเป็นหัตถกรรมพื้นบ้านขนาดของเรือนขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจของผู้อาศัย ห้องนอนน้อยห้อง ไม่นิยมนอนเตียง เรือนมีใต้ถุนสูง และนิยมปลูกบ้านหันหน้าหรือหันด้านแคบของ บ้านไปทางทิศตะวันออกเพื่อรับแดด ในขณะที่ด้านยาวก็จะได้รับลม และถ่ายเทอากาศ มี การวางแปลนบ้านเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วน ชายคาบ้านมีลักษณะยื่นยาวออกไป เรียกว่า "ไขรา หรือ กันสาด" ช่วยป้องกันความร้อนและแสงแดดกล้า โดยเฉพาะแดดเช้าและบ่ายในยาม ที่ดวงตะวันอ้อมในฤดูหนาว ไม่ให้เผาฝาผนังของบ้านจนร้อนเกินไป ตัวฝาผนังของบ้านเป็นกรอบที่เรียกว่า "ฝาลูกฟัก" หรือเรียกว่า "ฝาปะกน" สามารถยกถอดประกอบกันได้ เป็นลักษณะเฉพาะของเรือนไทยภาคกลางในส่วนของระเบียง มักสร้างขนานไปตามความยาวของเรือนมีชานเรือนยาวต่อไปจนถึงตัวเรือนและห้องน้ำ บริเวณใต้ถุนบ้านนั้นจะยกสูงเพื่อป้องกันน้ำท่วมในฤดูน้ำหลากและยังช่วยป้องกันสัตว์ร้ายอีกด้วย นอกจากนี้ใต้ถุนยังสามารถใช้เก็บข้าวของหรือเลี้ยงสัตว์ได้อีกด้วย หากมีการขยับขยายครอบครัวก็จะมีการสร้างเรือนในบริเวณให้มากขึ้นและเชื่อมต่อกันด้วยชานบ้าน บ้านไทยนิยมแยก "เรือนครัว หรือ ครัว" ไว้อีกส่วนหนึ่งกันเขม่าไฟ ควันจากเถ้าถ่าน เพราะสมัยก่อนใช้ไม้มาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อ หุงหาอาหารวิถีชีวิตของชาวภาคกลางนั้นจะผูกพันอยู่กับสายน้ำเป็นหลัก ใช้เรือเป็นพาหนะในการไปมาหาสู่จับจ่ายซื้อของระหว่างกัน เป็นสังคมเกษตรกรรม รับประทานข้าวเจ้าเป็นอาหารหลัก การประกอบอาหารของชาวภาคกลางนั้น ใช้วัตถุดิบที่สามารถหาได้ง่าย เช่นผัก บุ้ง ผักกะเฉด ที่ผลิตได้เองในแต่ละครัวเรือน รับประทานน้ำพริก ผักต้ม หรือผักสด ประกอบอาหารทุกมื้อ
 
ส่วนการแต่งกายนิยมแต่งกายแบบเรียบง่าย สวมใส่กางเกง ขาก๊วย เสื้อคอกลม มีผ้าขาวม้าไว้พาดบ่า คาดเอว หรือไว้ใช้อเนกประสงค์ ฝ่ายหญิงจะนุ่งผ้าถุงหรือโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลม แขนยาวหรือเสื้อเชิ้ต หากมีงานออกสังคมส่วนใหญ่ไปทำบุญที่วัดตามคตินิยม ลักษณะของครอบครัวอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ นิยมปลูกเรือนเพิ่มให้กับสมาชิกครอบครัวในพื้นที่รอบรั้วเดียวกัน
 
 
 
 
บริษัท อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม จำกัด
41/1 หมู่ 3 ถ.เพชรเกษม-ดำเนินสะดวก
ต.วังเย็น อ.บางแพ จ.ราชบุรี 70160
ช่องทางติดต่อเรา
โทรศัพท์ : 032381401 , 032381404  โทรสาร : 032381403
เว็บไซต์  : www.scppark.com  อีเมล์ : scp_2549@hotmail.com