ว่าด้วยเรื่อง เวียดนาม..อีกครั้ง สำหรับนิตยสารโอกาสธุรกิจเฟรนไชส์ ประจำเดือนมิถุนายน 2550 โดยวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ www.vikrom.net , e-mail:vikrom@vikrom.net
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ฉบับที่แล้วผมว่าด้วยเรื่อง มองเวียดนาม มาคราวนี้ขอต่อด้วยเรื่องของเวียดนามกันอีกสักครั้ง บอกตามตรงครับระยะนี้มีอันต้องเดินทางไปเวียดนามอยู่
บ่อย ๆ ด้วยสาเหตุหลายประการด้วยกัน และต้นเดือนนี้ก็จะต้องไปอีกแล้วไม่แน่ว่าฉบับหน้าอาจจะนำเรื่องเวียดนามมาเล่าสู่กันฟังอีกถ้าผู้อ่านไม่เบื่อเสียก่อน เมื่อเดือนที่แล้วผมมีเหตุต้องเดินทางไปเวียดนามอีกครั้ง คราวนี้ไปในฐานะวิทยากรในงานสัมมนาที่จัดโดยเนชั่นคนกันเองไม่ใกล้ไม่ไกลกัน เวทีสัมนาในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมฟังกว่า 400 คน ต้องนับเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผมมากเพราะผมต้องเป็นผู้พูดให้คนหลาย ๆ เชื้อชาติร่วมรับฟังด้วย อีกทั้งยังมีนักข่าวจากหลาย ๆ ประเทศที่เข้าร่วมงานเพื่อมารับทราบถึงนโยบายทางเศรษฐกิจของทางรัฐบาลเวียดนามว่าจะมีแนวโน้มไปในทิศทางใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุนในประเทศเวียดนาม มุมมองของนักลงทุนต่างประเทศในระยะสั้นและระยะยาวที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของเวียดนาม เพราะหากจะว่าไปแล้ว เวียดนามในตอนนี้ถือเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง และเป็นประเทศที่นักลงทุนทั่วโลกต่างมุ่งความสนใจมาเป็นจุดเดียวกัน ต้องขอชื่นชมทีมงานที่ริเริ่มจัดงานนี้มากนะครับเพราะได้รับทั้งเงินทั้งกล่อง ประสบความสำเร็จอย่างสูง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลเวียดนามได้เข้ามาเป็นโต้โผใหญ่ในการจัดงาน โดยกระทรวงวางแผนและอุตสาหกรรมเป็นแม่งานตลอดทั้งงาน และในแต่ละช่วงของการสัมมนาก็จะมีรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องมาเข้าร่วมสัมมนาด้วยทุกครั้ง โดยทุกท่านเข้าร่วมในฐานะวิทยากรและและทำหน้าที่ตอบข้อสงสัยให้กับผู้เข้าร่วมสัมนาเพราะว่ามีนักลงทุนหลายประเทศที่เดินทางไปเพื่อให้ได้รับความกระจ่างที่สุด
สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากคือรัฐมนตรีเวียดนามทุกคนทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เริ่มตั้งแต่คำกล่าวที่เตรียมมาอย่างกระชับ เหมาะสม และพูดด้วยท่าทางแข็งขันและจริงจัง อีกทั้งในการฟังวิทยากรพูดผู้ฟังก็ฟังอย่างตั้งใจ จริงจัง และข้อสำคัญที่สุดคือเมื่อผู้ร่วมสัมนามีข้อสงสัย รัฐมนตรีต่าง ๆ จะตอบคำถามอย่างฉะฉาน ไม่นอกประเด็น และยังสามารถกำหนดเวลาต่าง ๆ ด้วย เช่น มีผู้เข้าร่วมสัมนาสงสัยว่า หากมีนักลงทุนต่างชาติเขามาในประเทศเวียดนามมากขึ้นปัญหาที่ตามมาก็คือการสื่อสาร เพราะคนเวียดนามยังพูดภาษาอังกฤษได้น้อย รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของเวียดนามก็ตอบกลับในทันทีว่า เข้าใจและตระหนักถึงปัญหานี้ดี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยคือขณะนี้อุตสาหกรรมเรือของเวียดนามที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วกำลังต้องการวิศวกรเป็นจำนวนมาก แต่วิศวกรของเวียดนามส่วนใหญ่มีปัญหาทางด้านภาษาอังกฤษ ทางรัฐบาลจึงจัดหลักสูตรอบรมภาษาอังกฤษแบบเร่งด่วน โดยหลักสูตรนี้จะสำเร็จภายในเดือนกันยายน และจะให้คนเวียดนามเรียนภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น โดยอาจเปลี่ยนระบบการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาให้เป็นหลักสุตรภาษาอังกฤษทั้งประเทศ แต่อย่างไรก็ตามก็จะเป็นในส่วนของวิชาที่จำเป็นก่อนในเบื้องต้น เพื่อให้เกิดการปรับตัวในการรองรับการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ
แม้ว่า เดิมทีนายกรัฐมนตรีของเวียดนามจะต้องมาพูดในฐานะตัวแทนของรัฐบาลเวียดนาม แต่ท่านเกิดติดธุระกระทันหันจึงส่งรองนายกฯมาพูดแทน และนอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีทางด้านการลงทุนและการวางแผนมาด้วยพร้อมกับรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ในตอนแรกผมแปลกใจมากว่าทำไมถึงมีรัฐมนตรีของสิงคโปร์มาร่วมด้วย มาทราบในภายหลังว่าการที่รัฐมนตรีของสิงคโปร์เข้าร่วมด้วยนั้น เป็นเพราะว่าสิงคโปร์มองว่าในอนาคตเวียดนามจะเป็นแหล่งลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ ทำให้รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ได้มาพูดเรื่องจุดแข็งของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ ที่จะเป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จของเอเชีย นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจากประเทศจีนที่มาพูดเกี่ยวกับแนวโน้มในเรื่องของการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองและเงื่อนไขการลงทุนของประเทศจีน และยังพูดถึงหลักการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเวียดนามในอุตสาหกรรมการเกษตร หรือแม้กระทั่ง Nestle ที่พูดถึงการเติบโตของเวียดนาม เพราะในตอนนี้เวียดนามกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกไปแล้ว
ขณะที่ผมฟังวิทยากรหลายต่อหลายคนที่ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนในเวียดนาม พวกเขาเหล่านี้เอาประสบการณ์การลงทุนเวียดนามกว่า 10 ปีของพวกเขามาพูดคุยให้ผู้ร่วมสัมมนาฟัง สิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนคือความสำเร็จที่พวกเขาได้รับจากการนำเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในเวียดนาม ส่วนตัวผมเองได้นำเสนอสิ่งที่ผมมองและคาดการณ์ไว้ว่าในอนาคต 10 ปีข้างหน้าเวียดนามจะเป็นอย่างไร
โดยภาพรวมแล้วสิ่งแรกที่คาดการณ์ได้ไม่ยากคือจำนวนประชากรที่จะเพิ่มมากขึ้น 100 ล้านคนและ กำลังซื้อจะเพิ่มขึ้นอีกมากมายมหาศาล เพราะตามปกติวิสัยของคนเวียดนามนั้นจะเป็นคนที่แต่งตัวดี บริโภคแต่ของดี อีกทั้งโรงกลั่นน้ำมันของเวียดนามก็จะแล้วเสร็จอีกถึง 3 โรงงานใน 5 ปีข้างหน้า และหากเป็นเช่นนั้นจริง ราคาน้ำมันในเวียดนามก็จะถูกลงอีกมากเพราะเวียดนามมีน้ำมันดิบใช้เอง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของเวียดนามลดต่ำลง นอกจากนี้ GDP ของเวียดนามจะกลายเป็นเลขสองหลัก และการส่งออกของเวียดนามจะโตอย่างน้อย30% ขึ้นไป และผมยังมองว่านายกรัฐมนตรีคนนี้จะยังเป็นผู้ที่จะสามารถกำจัดพวกที่ทุจริตคอรัปชันออกไปจากเวียดนามได้ ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันให้เวียดนามก้าวไปสู่ความโปร่งใส แต่หากจะว่าไปแล้วภายใต้ภาพการเจริญเติบโตอันสวยหรูของเวียดนามก็ยังมีปัญหาอยู่ ผมมองว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือปัญหาการโยกย้ายคนจากโครงการที่รัฐบาลอนุมัติแล้ว นอกจากนี้ระบบสาธารณูปโภคของเวียดนามรวมทั้งถนนหนทางต่าง ๆ ก็ยังไม่สามารถขยายให้ทันรองรับการเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจเวียดนามได้ และปัญหาการจราจรติดขัดก็จะตามมาเป็นเงาตามตัวซึ่งคงไม่แตกต่างจากบ้านเรามากนัก หากไม่มีการวางระบบการขนส่งมวลชนที่ดีพอ
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเวียดนามในปัจจุบันอยู่ในขั้นดีมาก จากการที่มีเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในเวียดนามเกือบ 80,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะปี 2006 ปีเดียวก็เป็นจำนวนกว่า 10,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ จนทุกวันนี้มีนักลงทุนจาก 77 ประเทศ ยังไม่รวมจากที่คนเวียดนามที่อาศัยอยู่โพ้นทะเลที่นำเงินลงทุนกลับประเทศอีกเกือบ 5,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในขณะที่ปีที่แล้วประเทศไทยมีนักลงทุนต่างชาตินำเงินมาลงทุนในประเทศไทยเพียง 10,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
นอกจากนี้ปัจจุบันเวียดนามยังมีการส่งออกสินค้าไปทั่วโลกกว่า 200 ประเทศ ภายใต้อัตราการเติบโต 20% คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 40,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นครึ่งหนึ่งของประเทศไทย ตามติดมาด้วยการตั้งหน้าตั้งตาปราบปรามคอรัปชันของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนั้นเป็นไปอย่างจริงจังการอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุคนี้ ส่งผลให้นักลงทุนจางต่างชาติมีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในเวียดนาม รัฐบาลเวียดนามเองได้ออกนโยบายและมาตรการที่เคร่งครัดว่าหากพบ ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการคอรัปชัน จะได้รับโทษจำคุกหรือยิงเป้าสถานเดียว ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นรัฐมนตรี หรือเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ สิ่งนี้เองจะส่งผลให้เครดิตของประเทศเวียดนามดีขึ้นในสายตาชาวต่างชาติ
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าหากสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้อีกต่อไป เวียดนามจะเป็นประเทศที่มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนมากที่สุดในอาเซียน เพราะมีแรงดึงดูดจากการที่รัฐบาลเวียดนามมีนโยบายที่จะปราบปรามการทุจริตและคอรัปชันอย่างจริงจัง รวมไปถึงการปรับปรุงระบบการบริหารที่รัฐมนตรีทุกคนทำงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง มองภาพอย่างนี้แล้วคงกระตุ้นให้นักธุรกิจไทยปรับตัวกันให้มากขึ้นนะครับ
พบกับรายการ CEO VISION ทาง FM. 96.5 MH.Z ทุกวันพุธ ศุกร์ เวลา 9.00-10.00 น.และรายการ หมุนตามโลกแบบวิกรม ทางโทรทัศน์ช่อง 5 ทุกวันอังคารเวลา 16.35-17.00 น. |
|