รูเพิร์ต เมอร์ด็อก ซื้อทุกสื่อที่ขวางหน้า
วงการสื่อมวลชนทั่วโลก รับข่าวใหญ่อีกครั้งเมื่อรูเพิร์ต เมอร์ด็อก ( Rupert Murdoch ) แสดงความประสงค์จะขอซื้อกิจการของดาวโจนส์ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัลด์ อันโด่งดังของสหรัฐ เพื่อต่อยอดธุรกิจและเสริมบารมีของคนอย่างเขาที่อาจจะถือได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในด้านสื่อมวลชนของโลกและยังขยายฐานความสัมพันธ์ทางการเมืองกับบุคคลระดับแนวหน้าของโลกจนกลายเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชแห่งสหรัฐ นางฮิลลารี คลินตันซึ่งกำลังเสนอตัวชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ รวมถึงความสัมพันธ์ที่แน่นปึ๊กกับอดีตผู้นำทางการเมืองอย่างนางมากาเร็ต แธ็ตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ รวมถึงนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนปัจจุบันอย่างโทนี่ แบลร์
รูเพิร์ต เมอร์ด็อก วัย 76 ปีเป็นชาวออสเตรเลียโดยกำเนิดก่อนจะขอแปลงสัญชาติเป็นชาวอเมริกันเมื่อทศวรรษปี 1980 เพื่อหวังขยายอาณาจักรสื่อมวลชนไปทั่วโลกจนทุกวันนี้เขาเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ทั่วโลกถึง 175 ฉบับ
ในสหรัฐ บริษัทนิวส์ คอร์ป ( News Corps.) ของเขาเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์นิวยอร์ค โพสต์ โรงถ่ายภาพยนตร์ Fox และเครือข่ายโทรทัศน์ รวมถึง MySpace เว็บไซด์เครือข่ายทางสังคมอินเตอร์เน็ตที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
บริษัทโฮลดิ้งของเมอร์ด็อกซึ่งย้ายฐานจากออสเตรเลียไปยังสหรัฐยังเป็นเจ้าของโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมอย่าง BskyB และ Sky Italia รวมถึง Star TV ในเอเชียด้วย นอกจากนั้นยังเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์
The Australian และโรงพิมพ์ HarperCollins ซึ่งผลิตหนังสือในสหรัฐ
ล่าสุดเมอร์ด็อกขยับอีกครั้งอย่างกล้าหาญและท้าทายตามสไตล์ของเขาด้วยการเสนอซื้อดาวโจนส์ (Down Jones )ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัลด์ (The Wall Street Journal ) หนังสือพิมพ์ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกธุรกิจด้วยมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมอร์ด็อกซึ่งเป็นประธานและประธานบริหารของนิวส์ คอร์ปให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ Fox ว่าเขารู้สึกว่าวอลสตรีท เจอร์นัลด์เป็นหนังสือพิมพ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกาและเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
ย้อนกลับไปในอดีตคีธ รูเพิร์ต เมอร์ด็อก (Keith Rupert Murdoch )ซึ่งเกิดในปี 1931 เขาได้รับมรดกจากพ่อของเขาในทศวรรษ 1950 ด้วยหนังสือพิมพ์เล็กๆ 2 ฉบับที่บ้านเกิดของเขาในออสเตรเลีย จากนั้นในปี 1969 เขาเดินทางไปยังอังกฤษเพื่อศึกษาที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ก่อนที่จะซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ The World และ The Sun ซึ่งต่อมากลายเป็นหนังสือพิมพ์สำคัญของอังกฤษ และในปี 1976 รูเพิร์ตหันไปมองสหรัฐอเมริกาและซื้อนิตยสาร New York พร้อมกับหนังสือพิมพ์นิวยอร์ค โพสต์
การไขว่คว้าสื่อในอังกฤษครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 1981 เมื่อเขาสามารถเข้าซื้อกิจการของ The Times และ Sunday Times ปัจจุบันบริษัทนิวส์ คอร์ปของรูเพิร์ตมีมูลค่าการตลาดสูงถึง 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และจากผู้ทรงอิทธิพลด้านสื่อมวลชน เมอร์ด็อกก็เริ่มใช้สื่อของเขาเพื่ออิทธิพลทางการเมือง
นิตยสารนิวยอร์คเกอร์ (The New Yorker) ซึ่งเพิ่งตีพิมพ์เรื่องราวของเมอร์ด็อกเมื่อไม่นานมานี้พูดถึงเมอร์ด็อกว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีมหานครนิวยอร์คในปี 1977 เมื่อเขาตัดสินใจให้การหนุนหลังผู้สมัครคนหนึ่งซึ่งผลสำรวจคะแนนนิยมในขณะนั้นคะแนนเป็นรองคู่แข่ง
เอ็ด คอช (Ed Koch ) ซึ่งครองตำแหน่งนายกเทศมนตรีมหานครนิวยอร์คจนถึงปี 1989 กล่าวว่าการสนับสนุนของเมอร์ด็อกผ่านทางหนังสือพิมพ์ The Post ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการรณรงค์หาเสียงโดยสิ้นเชิง และเขาคงไม่ได้รับชัยชนะหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากหนังสือพิมพ์ของรูเพิร์ต
เมื่อคราวเกิดวิกฤติการณ์ในอิรัก เมอร์ด็อกให้การสนับสนุนสหรัฐในการเข้าแทรกแซงอย่างเต็มที่ สร้างความไม่พอใจให้กับผู้คนจำนวนไม่น้อยเมื่อหนังสือพิมพ์ The Sun แสดงจุดยืนเข้าข้างรัฐบาลสหรัฐเต็มตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2003 หรือ 1 เดือนก่อนที่สหรัฐจะบุกอิรักโดยตีพิมพ์ฉบับพิเศษเป็นภาษาฝรั่งเศสโดยขึ้นพาดหัวประณามประธานาธิบดีจ๊าค ชีรัคว่าเป็นตัวหนอน เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามของสหรัฐในอิรัก
และในฐานะคนที่ชื่นชมอดีตนางสิงห์เหล็กอย่างนายกรัฐมนตรีมากาเร็ต แธ็ตเชอร์แห่งอังกฤษรวมถึงอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนแห่งสหรัฐ เมอร์ด็อกก็ไม่เคยปิดบังซ่อนเร้นความคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ของเขาไม่ว่าจะเป็นเรื่องสหภาพแรงงานหรือเรื่องภาษี ในปี 1983 เขาถึงกับกล้าท้าทายสหภาพแรงงานของอังกฤษด้วยการไล่พนักงานออกถึง 5,000 คน ส่วนในสหรัฐ เครือข่ายโทรทัศน์ Fox News 24/7 ของเขาก็กล้าวิจารณ์รัฐบาลด้วยสิ่งที่
เมอร์ด็อกเห็นว่าเป็นอนุรักษ์นิยมมากเกินไป และยังให้การสนับสนุนแบบแทบจะไม่มีเงื่อนไขแก่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชในการทำสงครามต่อต้านก่อการร้าย
สตีเฟ่น โคลเบิร์ท (Stephen Colbert ) นักวิเคราะห์ทางการเมืองพูดไว้ในเดือนเมษายนปี 2006 ว่าสถานีโทรทัศน์ Fox News ของเมอร์ด็อก จะให้มุมมอง 2 ฝ่ายของทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นมุมของประธานาธิบดีหรือมุมของรองประธานาธิบดี
ในอังกฤษ เมอร์ด็อกเคยสร้างปรากฏการณ์ช็อคทางการเมืองเมื่อหนังสือพิมพ์ของเขาอย่าง The Sun และ News of the World ให้การสนับสนุนผู้สมัครจากพรรคแรงงานอย่างโทนี่ แบลร์ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเมอร์ด็อกให้การสนับสนุนพรรคอนุรักษ์นิยมมาโดยตลอดและอย่างยาวนาน นิตยสาร The New Yorker พูดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นซึ่งเกิดขึ้นในปี 1995 ว่าโทนี่ แบลร์ยอมลงทุนเดินทางกว่า 14,000 กิโลเมตรเพื่อเข้าร่วมประชุมกับนิวส์ คอร์ปของรูเพิร์ตก่อนที่โทนี่ แบลร์ จะคว้าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอังกฤษมาครอง
และปีที่แล้ว เมอร์ด็อกในวัยกว่า 70 ปีก็สร้างความประหลาดใจทางการเมืองอีกครั้งด้วยการรับรองนางฮิลลารี คลินตัน ภริยาของอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตันจากพรรคเดโมแครตให้สมัครชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาแห่งนิวยอร์คเป็นสมัยที่ 2 ทั้งที่ก่อนหน้านี้จุดยืนเมอร์ด็อกให้การสนับสนุนฝ่ายรีพับลิกันมาโดยตลอด
แต่การเปลี่ยนจุดยืนมาให้การสนับสนุนนางฮิลลารี คลินตันถูกมองว่าไม่ถึงกับเป็นเรื่องแปลกประหลาดทางการเมืองมากนักเพราะความสัมพันธ์ระหว่างภริยาของอดีตประธานาธิบดีคลินตันกับเมอร์ด็อกเคยมีมาก่อนด้วยการรณรงค์หาทุนสำหรับการหาเสียงของฮิลลารี คลินตัน แต่เมื่อถามว่าเขาจะให้การสนับสนุนฮิลลารีชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐหรือไม่ เมอร์ดอชตอบว่าถ้าดูจากประวัติของฮิลลารี คลินตันแล้วต้องยอมรับว่าเธอมีแนวคิดที่เป็นเสรีนิยมหรือ liberal ที่อาจจะมากกว่าตัวเขาเสียอีก ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าฮิลลารีจะออกมาในรูปไหนและหากได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว ค่อยดูกันอีกที
นี่คือความเคลื่อนไหวของผู้ทรงอิทธิพลด้านสื่อที่ต่อยอดอิทธิพลครอบงำทางการเมืองในประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกได้อย่างไม่ยากเย็นนัก คู่แข่งคนสำคัญของเขาก็คือเท็ด เทอร์เนอร์ (Ted Turner ) ผู้ก่อตั้ง CNN แต่คนอย่าง
รูเพิร์ต เมอร์ด็อกก็มีชนักติดหลังเช่นกันเช่นในปี 1999 เขาถูกกล่าวหาว่าพยายามเลี่ยงการจ่ายภาษีถึง 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐด้วยวิธีการจัดโครงสร้างบริษัทนิวส์ คอร์ปให้สลับซับซ้อนในระดับอินเตอร์ฯ แต่สำหรับการเสนอซื้อหนังสือพิมพ์ระดับอินเตอร์ฯอย่างวอล สตรีท เจอร์นัลด์ ก็ยังไม่ได้ข้อยุติเช่นกัน เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่ยังไม่ยอมขาย แม้จะถูกมองว่าเป็นแค่เกมเล่นตัวเพื่อโก่งราคาเท่านั้น
|