พรศรี พรเพ็ญ สองพี่น้อง
กับภารกิจสร้างธุรกิจในฝัน มิสมาม่อนเค้ก
พรศรี นิสภกุลธร และ พรเพ็ญ รัตนพิทักษกุล เจ้าของธุรกิจเบเกอรี่ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นการทำธุรกิจว่า เริ่มต้นเกิดจากความฝันร่วมกันที่มีตั้งแต่วัยเด็กว่า อยากเปิดร้านเบเกอร์รี่ ร้านกาแฟ ก็พยายามศึกษามาเรื่อยๆ และน้องสาว ก็เป็นคนชอบทานเบอเกอรี่ มีร้านไหนเปิดเราก็ไปชิม ไปดูว่าร้านไหน มีจุดเด่นอะไรบ้าง พอถึงจุดที่คิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำในสิ่งที่คิดและฝันกันแล้ว เราก็เลยคุยกันระหว่างพี่สาวกับน้องสาว ว่าจะทำอะไรดี เราเองต่างก็ถนัดกันคนละอย่าง น้องสาวจะถนัดทำขนมเป็นคนที่รู้เรื่องขนมทุกอย่าง แต่เราก็ถนัดเรื่องการทำบัญชี การจัดการ ก็มีไอเดียกันว่า ถ้าจะขายเบเกอร์รี่เหมือนร้านทั่วไป ขาย20กว่าอย่าง คงไม่มีใครจำเราได้หรอก เพราะไม่มีจุดเด่น ลองเลือกเด็ดๆมาสักอย่าง
สองพี่น้องก็ได้ตั้งโจทย์ขึ้นมาว่า สินค้าคืออะไร จะขายใคร และลูกค้าเป็นใคร แล้วสินค้าจะพัฒนาให้มันเข้ากับลูกค้าได้อย่างไร และเผอิญว่า ขนมมาม่อนเค้กเป็นขนมที่ที่บ้านชอบทาน จึงมาลงที่ การเปิดร้านชื่อ มิสมาม่อน ที่เป็นร้านที่ขายขนม มาม่อนเค้ก
ขนม "มาม่อนเค้ก" เป็นขนมที่ได้รับความนิยมมากในฮ่องกง สูตรของขนมมาม่อน ก็เริ่มจากที่น้องสาวไปเรียนปริญญาตรีทางด้านอาหารที่อเมริกา ซึ่งตอนที่อยู่ที่นั่นเขาก็เรียนการทำขนมกับฝรั่ง และเขาก็ไปอยู่กับร้านเบเกอร์รี่ด้วย พอเรียนจบและกลับมาเมืองไทย ก็เริ่มฝึกฝนไปเรื่อยๆ อาศัยเวลานานกว่า 2 ปี เพื่อพัฒนาสูตรการผลิตให้มีรสชาติที่หลากหลายถูกปากกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นคนไทย แต่ทีนี้วาไรตี้มันน้อย เราก็เลยกลับมาคิดอีกว่าขนมเรามันก็เหมือนกับโดนัท เราสามารถดัดแปลงมันได้ เอามาทำหลายๆหน้า ก็เลยลองดูว่าตัวนี้มันจะได้หรือไม่ ขนมของเรามันไม่หวาน ไม่เหมือนขนมเค้กหรืออย่างอื่นที่มีครีม มันจะหวาน ก็เลยได้เค้กมา 3 รสชาติคือ รสกาแฟ รสวานิลลา และรสใบเตย มีทั้งหมด 9 หน้า และเรามีคิดค้นสูตรใหม่ด้วยคือสูตร ซูการ์ฟรี จะไม่มีน้ำตาลเลย ตัวนี้พัฒนาขึ้นมาเพื่อกลุ่มลูกค้าที่ต้องการลด หรือควบคุมปริมาณน้ำตาล สูตรชูการ์ฟรีก็จะมีทั้งหมด 4 หน้า
ส่วนทำเลที่เรามองไว้ตอนแรกๆ ต้องเจาะกลุ่มเป้าหมาย คือผู้หญิงวัยทำงาน เราคิดว่าการทำร้านอาหาร เบเกอร์รี่ ที่สำคัญจะประสบความสำเร็จได้ต้องอยู่ที่ทำเล แล้วก็มาเจอทำเลที่ตลาดลุงเพิ่ม ที่คิดว่าตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเรา ก็มาลงตัวที่หลังการบินไทยนี่เอง
จากนั้นเราก็มาดูกันเรื่องลูกค้าว่า ถ้าจะไปเจาะกลุ่มวัยรุ่น ส่วนมากจะเป็นแฟชั่น และอีกอย่างเขาไม่ได้หาเงินด้วยตัวเอง การใช้จ่ายแบบนี้มันต้องมีคิดบ้าง ถ้าเป็นพนักงานออฟฟิศก็ต้องมีเพื่อนมีครอบครัว ถ้าเขาจะซื้อของ เขาจะต้องซื้อฝากหลายๆคน คุณพรศรีกล่าว และกล่าวต่อว่า
ตอนร้านเปิดวันแรก เราก็ลุ้นกันว่าจะขายได้ถึงพันบาทหรือเปล่า เนื่องจากว่าขนมของเราไม่มีใครได้ทดลองชิมก่อนนอกจากคนในครอบครัวของเราที่ช่วยกันชิม แบรนด์เราก็ไม่มีคนรู้จัก แต่เราก็มั่นใจว่าจากวัตถุดิบที่เราคัดสรรค์มาเป็นอย่างดี ทั้ง เนย แป้ง ชีสส์ ทุกอย่างเราใช้ของดีทั้งหมดเลย แต่ผลตอบรับมันก็ดีเกินคาด ทำให้เรามั่นใจว่ามันต้องไปได้แน่ๆ ตอนนี้ก็มีทั้งหมด 3 สาขา คือที่ตลาดลุงเพิ่ม หลังการบินไทย ที่ตึกยูไนเต็ต ที่สีลม และที่ดิโอสยามสองสาขาแรกจะมีครัวอยู่หลังร้าน เพื่ออบขนมให้สดใหม่จริงๆ แต่ร้านที่ดิโอสยาม เราจะอบมาจากที่บ้าน เพราะอยู่ใกล้บ้าน ผลตอบรับในแต่ละสาขาก็ถือว่าดี ถ้าช่วงเทศกาลก็จะขายดีหน่อย เพราะการขายพวกเบเกอร์รี่จะขึ้นอยู่กับช่วงเทศกาล กับร้านมิสมาม่อนในตอนนี้เราก็พอใจนะ ถึงจะไม่ได้กำไรเยอะแยะมากมายแต่ก็พอเลี้ยงตัวเองได้ ไห้กำไรประมาณ 10-20% ก็พออยู่ได้ เพราะขนมของเราขายเพียงชิ้นละ 22 บาทเอง
คุณพรศรี และคุณพรเพ็ญ กล่าวถึงการให้ความสำคัญในการทำธุรกิจของอาหารหรือเบเกอร์รี่ สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณภาพและรสชาติ ถ้าเปลี่ยนหรือคุณภาพด้อยลง ลูกค้าจะรู้สึกว่ามันไม่อร่อยเหมือนเดิมมันก็จะไม่ดี วัตถุดิบและสินค้าของเราใช้วันต่อวัน ไม่มีของตกค้าง เราค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า ไม่ได้รีบที่จะขยายสาขา ในการดำเนินธุรกิจเราต้องจริงใจกับลูกค้า มีอะไรคุยกับลูกค้าตรงๆ เราบอกว่าเราขายของใหม่สดทุกวัน เราก็ต้องขายของใหม่สดทุกวันจริงๆ ส่วนการควบคุมมาตรฐานอย่างที่บอก และน้องสาวจะมาลองชิมทุกวันว่ารสชาติมันเหมือนเดิมหรือไม่ ส่วนการจัดโปรโมชั่นที่กำลังจะจัดก็คือ ทางร้านร่วมกับบัตร KTC โดยที่ใช้คะแนนเป็นGP มาแลกสินค้าได้ และคาดว่าจะทำบัตรสมาชิกออกมาเป็นของมิสมามอนเองในเร็วๆนี้
ในยุคข้าวยากหมากแพงในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร หรือร้านเบเกอร์รี่ก็ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ในส่วนของวัตถุดิบที่มีราคาสูงขึ้น ซึ่งร้านค้าต่างๆก็ต้องปรับตัวกันอย่างรวดเร็วเช่นกัน ปัญหาใหญ่ที่พบในตอนนี้ก็คือ เรื่องต้นทุน คือของมันแพงขึ้น โดยเฉพาะน้ำตาล และแป้ง ราคามันขึ้นไม่หยุดเลย เราไม่ได้ประหยัดเรื่องวัตถุดิบของขนมนะ แต่ถ้าจะขึ้นราคาขนมเลยมันก็ไม่ได้เราเลยต้องมาคิดกัน บางทีก็มีซัพพลายเออร์เจ้าอื่นๆ เข้ามาเสนอเราเหมือนกัน ว่าวัตถุดิบของเขาถูกกว่าเยอะเลย มันก็จริงนะ แต่ว่าพอเราลองเอามาทำแล้วรสชาติมันไม่ได้ ก็เลยไม่เอา เราก็เลยต้องพยายามลดต้นทุนของร้านในส่วนอื่นอย่างเรื่องของแอร์ในร้าน ไฟฟ้า เราก็จะช่วยกันประหยัดส่วนนั้นมากกว่า
สำหรับคนที่อยากทำธุรกิจตัวเอง สิ่งแรกคือ ต้องทำสิ่งที่ตัวเองชอบ เพราะถ้าเราทำเราต้องอยู่กับมันตลอดเวลา เราไม่ได้เป็นลูกจ้างนะ เราเป็นเจ้าของ ถ้าเราอยู่กับสิ่งที่เรารัก หรือเราขอบมันก็ก็มีความสุข ไม่มีปัญหา เราก็จะมีความสุขกับการทำงาน
ขณะนี้ก็มีบ้าง บางคนที่เขารับขนมเราไปขายต่อ แต่ว่ามันติดตรงระยะเวลาการเก็บ คือขนมเรามันอยู่ได้ 3-5 วันในตู้เย็น แต่ถ้าจะทานให้อร่อยมันต้องทานวันหรือสองวันแรก มันก็เลยติดตรงนี้ ถ้าคนที่มารับไปขายแล้วขายไม่ได้ หรือขาดทุน เราก็ไม่อยากให้ทำ แต่ถ้ารับไปแล้วขายได้เราก็ไม่ว่า ก็มีราคาพิเศษให้สำหรับคนที่รับไปขาย ราคาพิเศษ 100 ชิ้นขึ้นไป ก็จะประมาณนี้
สำหรับคนที่ทำธุรกิจในยุคที่ค่อนข้างแย่คือของแพง ก็ให้คิดเยอะๆก่อนทำ เพราะคู่แข่งมันก็เยอะขึ้น ผลกระทบกับร้านในยุคนี้ที่ของแพงคือ เราก็จะช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดีที่ไม่ให้คุณภาพมันลดลง ในขณะที่ของหรือวัตถุดิบที่ใช้มันก็แพงขึ้น การที่จะประสบความสำเร็จก็คือ ต้องพัฒนาสินค้าให้มันตรงกัลบกลุ่มของลูกค้า และทำเลดีๆ มีโปรโมชั่นดีๆให้กับลูกค้า และก็มีความตั้งใจ ก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้ คุณพรศรีกล่าวปิดท้าย
|