ความยากจนก็เป็นทั้งวิกฤตและโอกาส
เรื่องโดย : อ.มานิต รัตนสุวรรณ
ชีวิตวัยเด็กคือวัยสนุกสนานบันเทิง ไม่ว่าจะเกิดมายากจนเพียงไร เราก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร เพราะเราเกิดมาก็ชินกับชีวิตลำบากเสียแล้ว ไม่เห็นจะลำบากตรงไหน เพราะเพื่อนบ้านก็ล้วนแต่ลำบากด้วยกัน ยากจนเหมือนกันหมด กลับกันเรากลับอยู่กันเหมือนญาติ รู้จักกันหมดทั้งตลาด บ้านใครอยู่ตรงไหน ลูกเต้าเหล่าใคร สามารถไล่เรียงได้หมดจนถึงปู่ย่าตายาย
แต่ความยากจนนี่เองคือบทพิสูจน์ที่แท้ในชีวิตมนุษย์ คนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดจำนวนมากที่มาจากครอบครัวที่ด้อยโอกาส สังคมที่เสียเปรียบ ความต่ำต้อย น้อยเนื้อต่ำใจ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนพลังไฟชั้นดีที่เติมให้เกิดมนุษย์ทรหด ที่มีความแข็งแกร่งผิดมนุษย์ อดทนผิดมนุษย์ เพราะต้องช่วยเหลือตัวเอง พึ่งตนเอง ให้กำลังใจตนเอง ไม่มีโค้ช ไม่มีติวเตอร์ ไม่มีครอบครัว วงศาคณาญาติ ตระกูลช่วยประคับประคอง ต้องสู้ด้วยลำแข้งตัวเอง ด้วยจิตวิญญาณของตนเอง
ชีวิตเด็กในยามสงคราม
บ้านผมเป็นเรือนแถวไม้เล็กๆ ในตลาดที่มีไม่กี่ห้อง หลังตลาดเป็นโล่งแจ้งมีบ่อน้ำเล็กๆ ผมจำได้ว่า ก๋งของผมเป็นคนจีนใจดี เลี้ยงห่านไว้หลายตัว เวลาห่านของก๋งชอบมาจิกผม ผมจะเอาไม้ไล่ตีเพราะห่านกับผมตัวไล่ๆ กัน ก๋งก็จะคว้าไม้เรียวทำท่าดุจะตีผมแล้วร้องว่าจะไปตีมันทำไม ผมก็จะฟ้องว่าก็ห่านมันชอบมาจิกผม แต่ผมรู้ว่าก๋งรักผมไม่ตีผมหรอก เพราะก๋งชอบเอาผมขี่คอไปนั่งรอเวลาเล่นหมากรุกจีนกับเพื่อน เพราะก๋งรักหลานชายตัวเปี๊ยก
ยุคนั้นเป็นยุคเกือบสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ควันสงครามยังหลงเหลืออยู่ บ้านเราอยู่ติดสถานีรถไฟเล็กๆ ชื่อหนองโดน ซึ่งเป็นเป้าโจมตีทางอากาศด้วย เวลาเปิดหวอเตือนภัยก๋งก็จะคว้าผมขึ้นขี่คอแล้ววิ่งเข้าไปหลุมหลบภัย ได้ยินเสียงแต่เสียงหวีดหวิวและระเบิด ไฟก็ดับมืด รอจนสิ้นเสียงระเบิดและเสียงไซเรนว่าปลอดภัยแล้ว จึงค่อยทยอยออกมาจากหลุมหลบภัย ผมจำได้ว่าก๋งเคยเล่าด้วยความขบขัน เวลาใครเขาถามเด็กตัวน้อยอย่างผมว่าระเบิดมาทำยังไง ผมก็จะเล่าอวดเก่งสนุกแบบเด็กๆ ว่า พอลูกระเบิดมาผมก็วิ่ง.. วิ่ง.. วิ่ง ซึ่งก๋งผมก็จะส่ายหน้าแล้วบอกว่าที่เอ็งวิ่ง.. วิ่ง.. วิ่ง น่ะ มันก๋งวิ่ง ตัวเอ็งน่ะอยู่บนคอก๋งกอดคอแน่น หนอยยังจะมาอวดเก่งอีก
เด็กๆ ทุกคนในตำบลถ้าเกิดถ้าเกิดมาไล่ๆ กัน จึงเป็นเพื่อนกัน ไล่กันตามรุ่นที่เรียนในโรงเรียน ใครอายุไหนก็จะมีเพื่อนในห้องเรียนเป็นรุ่นนั้น ตามประสาเด็กๆ บางที่เราก็ดีกัน บางทีก็โกรธกัน เดี๋ยวก็หาย
เราไม่เคยรู้เลยว่าเด็กลูกคนรวยเขามีชีวิตอย่างไร เขามีความสุขอย่างไร เขามีความได้เปรียบอย่างไร การเรียนหนังสือเขามีครูพิเศษช่วยสอนอย่างไร เขาเรียนก้าวหน้ากว่าเราอย่างไร
จนกระทั่งเมื่อผมจบชั้นประถมฯ 4 คุณพ่อผู้มองการณ์ไกลคิดจะส่งลูกไปเรียนกรุงเทพฯ โดยไปขอฝากให้อยู่กับญาติผู้ใหญ่ ตอนนั้นผมอายุแค่ 10 ขวบ ยังตัวนิดเดียว คิดอย่างเดียวว่าดีใจจังจะได้ไปอยู่กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ เป็นเมืองสวยงาม เต็มไปด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจ มีรถราง รถยนต์ รถสามล้อ มีตึกสูงๆ มีคนแต่งตัวสวยๆ
โอกาสทองที่มาคู่กับวิกฤตการณ์
วันที่ขึ้นรถไฟคุณแม่ผมร้องไห้ด้วยความคิดถึง แอบร้องอยู่หลายวันแล้ว เพราะชีวิตผมกับคุณแม่นั้นไม่เคยห่างกันนาน ทุกเย็นต้องวิ่งกลับบ้าน ถ้ากลับบ้านช้าเพราะมัวแต่ไปว่ายน้ำในสระใหญ่ไม่ยอมขึ้นก็จะมีคุณแม่ถือไม้เรียวมารอที่ขอบสระ พอขึ้นจากสระได้ก็ต้องวิ่งหนีไม้เรียวหน้าตั้ง
ทันทีที่รถไฟค่อยๆ เคลื่อนออกจากสถานีช้าๆ ผมเห็นโรงเรียนของผมค่อยๆ วิ่งหนีผม หมู่บ้านตลาดก็วิ่งหนีผม ภาพคุณแม่ก็ค่อยๆ ไกลออกไป ผมก็เริ่มร้องไห้น้ำตาไหลพราก จนนัยน์ตาพร่ามัวไปหมด ผมหารู้ไม่ว่าผมกำลังจะต้องไปเผชิญชีวิตในเมืองใหม่ที่ยังต้องร้องไห้อีกนานนัก
แต่นั่นก็ยังไม่หนักเท่าไหร่ เมื่อไปถึงโรงเรียนผมถึงรู้ว่า เด็กบ้านนอกสู้เด็กในกรุงยาก เพราะปรากฏว่าเด็กในกรุงเทพฯ เขาเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่อนุบาล ป.1 ถ้าขึ้นมัธยมฯ 1 (สมัยก่อนมีแค่ประถมฯ 4) เขาก็เรียนภาษาอังกฤษไปไกลแล้ว แถมบางคนยังมีทั้งครูพิเศษติวเตอร์อีกต่างหาก ในขณะที่ผมแม้แต่ A B C ก็ยังไม่รู้จัก
โรงเรียนของผมชื่อ โรงเรียนธีรภัทรวิทยาลัย พระโขนง เป็นโรงเรียนเอกชนหลักสูตรเดียวกับโรงเรียนอัสสัมชัญ จึงเรียนตำราเล่มเดียวกัน จำไว้ว่าหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกที่ผมรู้จักเป็นเล่มสีแดงเข้มชื่อ Royal Star Reader พอเปิดมาผมก็เห็นแต่ตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่ผมไม่รู้จักแม้แต่น้อย แม้แต่ครูของผมที่บ้านนอกก็คงจะอ่านไม่ได้ เพราะครูผมก็จบแค่ ป.4 เท่านั้น
ภาษาอังกฤษส่งกระดาษเปล่าทุกวิชา
ผมจำได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่แสนจะโหดร้ายที่สุด เพราะทุกวิชาภาษาอังกฤษ ผมจะนั่งเหมือนเป็นใบ้ อ่านไม่ได้ เขียนไม่ได้ ตอบไม่ได้ อายก็อายแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี แต่ทำอะไรก็ไม่ได้ ครูก็รู้ได้แต่สังเวชใจ แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ผลที่สอบก็คือได้ วิชาภาษาอังกฤษผมต้องส่งกระดาษเปล่า ได้ศูนย์ทุกวิชา ปีที่เรียนมัธยมหนึ่งเป็นปีมหาโหดที่พ่อแม่ที่บ้านไม่รู้เลยและผมก็ไม่กล้าปริปาก ได้แต่สู้ด้วยวิชาอื่นๆ พยายามปรับตัวเอาเอง จำได้ว่า ผลสอบคือ ผมสอบได้ที่โหล่ในห้องเรียนแต่เผอิญไม่ตกเพราะยกชั้น
ช่วงนั้นได้เพื่อนรักคนหนึ่งเพราะอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ทั้งที่เป็นเด็กกรุงเทพฯ บ้านอยู่แถวเฟื่องนคร เป็นร้านขายหมวก ชื่อสมสาย แซ่ตั้ง ปรากฏว่าสมชายกับผมเป็นเพื่อนซี้ เพราะผลัดกันได้ที่โหล่กับรองโหล่หัวอกอันเดียวกัน เลยรักกันมาก
ใครไม่เคยสอบได้ที่โหล่ จะไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตมันชอกช้ำเพียงใด น่าอับอายเพียงใด เปล่าเปลี่ยวเงียบเหงาและวังเวงใจอย่างไร ยิ่งเป็นเด็กอายุ 10 ขวบ ยากจนมาจากบ้านนอกเข้ากรุงตัวคนเดียว พ่อแม่ก็อยู่ไกลไปอีกนับร้อยกิโลเมตรไม่รู้เรื่องเลย ปิดเทอมจึงจะได้เจอ
ติวเตอร์รุ่นจิ๋ว
แต่ในยามชีวิตจะเข้าตาจนจริงๆ ฟ้าก็ยังปราณี เพราะเพื่อนที่นั่งติดกับผมเป็นเด็กลูกจีนหน้าตาเกลี้ยงเกลาน่ารักอายุไล่เลี่ยกัน ชื่อบุ้งหยวย ซึ่งเห็นอกเห็นใจผมมากและมีไมตรีล้นเหลือ บ้านของบุ้งหยวยทำธุรกิจโรงงิ้ว มีฐานะดี ผมเคยแอบไปเยี่ยมหลายครั้งต้องทำตัวลีบๆ เพราะบ้านเขาใหญ่มาก เด็กชายบุ้งหยวยเรียนเก่ง ภาษาอังกฤษดีสอบได้คะแนนดีและมีน้ำใจ คงจะทนสายตาเว้าวอนองผมไม่ไหว จึงกลายเป็นครูติวภาษาอังกฤษรุ่นจิ๋วให้ผม ฟรีๆ มาเหมือนฟ้าประทาน
ทุกวันเขาจะเอาหนังสือ A B C มาสอนผม จนไปถึง a boy, the boy, a man, the man จนกระทั่งผมค่อยๆ เริ่มอ่านเขียนได้ บุ้งหยวยก็เอาหนังสือเก่าของเขามาสอนเพิ่มให้เรื่อยๆ ผมก็ค่อยมีกำลังใจแต่ก็ต้องต่อสู้อย่างหนัก นับเป็นวิกฤตในวัยเด็กที่ต้องเรียนลัดวิชาภาษาอังกฤษที่เขาเรียนใน 4 ปี ให้เหลือแค่ปีเดียว จะได้เรียนทันเพื่อนให้ได้ ต้องสู้เพื่อเอาตัวรอดให้ได้ ถ้าสอบตกก็อายเขา นี่คือความลับของเด็กบ้านนอก ที่พ่อแม่ไม่เคยรู้ว่าส่งลูกไปเรียนแบบเผชิญภัยไปตายเอาดาบหน้า
แต่ผลการสอบในปีต่อมา ผมไม่เคยได้ที่โหล่อีกเลย จำได้ว่าผมไปแอบซื้อดิกชันนารี เล่มจิ๋วแค่ฝ่ามือมาใส่กระเป๋าตลอดเวลา พอขึ้นรถเมล์ก็นั่งท่องศัพท์ทุกวันจนจำได้ส่วนใหญ่ และจากนั้นการเรียนผมก็กระเตื้องขึ้นตามลำดับ จนประมาณมัธยมฯ 4 ก็กลายเป็นเลขตัวเดียว ไม่น้อยหน้าเพื่อนในห้องแม้แต่น้อย แต่ผมก็ไม่ได้พบเพื่อนผู้มีน้ำใจคนนี้อีกเลย เพราะเกิดวิกฤตการณ์ใหม่ โรงเรียนสาขาสี่พระยาไฟไหม้ โรงเรียนสาขาพระโขนงที่ผมเรียนเลยพลอยเจ๊งไปด้วย ถูกศาลสั่งยึด
โรงเรียนเจ๊ง วิกฤตกลายเป็นโอกาส
ในที่สุดเราก็ทนเรียนในโรงเตี๊ยมต่อจนจบมัธยมฯ 5 คราวนี้ไปไม่รอด โรงเรียนประกาศสลายตัวให้นักเรียนไปหาโรงเรียนใหม่ โรงเตี๊ยมก็ไม่มีให้เรียน ครูก็ออกหมดแล้ว นักเรียนก็ถูกลอยแพ
ผมกลับบ้านไปเล่าให้คุณแม่ฟัง ซึ่งตอนนี้คุณแม่เก่งแล้ว เขยิบฐานะดีขึ้น ไปซื้อตึกแถงย้ายไปค้าขายในตัวจังหวัดลพบุรี เป็นร้านขายเสื้อผ้าเล็ก คูหาเดียว แต่ก็ดูดีกว่าหนองโดนเยอะ คุณแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไรจะพาไปหาอาจารย์ที่วัดกวิศร์ ได้ข่าวว่าท่านใจดีไปขอเรียนกลางคันปีสุดท้าย ซึ่งโรงเรียนนี้มีแค่มัธยมฯ 6 เหลือเรียนอีกเพียงปีเดียว
พระอาจารย์ที่ว่านี้ คือ พระพุทธวรญาณ เป็นเจ้าคณะภาค มีชื่อเสียงเป็นที่ปรากฏในคุณความดี และความสมารถระดับชาติ แม้สมเด็จพระเทพฯ ก็ยังเสด็จมาเยี่ยมที่วัดหลายครั้ง หลวงพ่อเป็นอาจารย์ใหญ่และเจ้าของโรงเรียนวัดชื่อวินิตศึกษา ถือเป็นโรงเรียนวัดตัวอย่างระดับประเทศ เป็นโรงเรียนเอกชนที่เก่งที่สุดและดังที่สุดแข่งกับโรงเรียนประจำจังหวัด คือ พิบูลวิทยาลัย
ครับ ฟ้าหลังฝน แล้วทุกอย่างก็ดูแจ่มใส เมฆหมอกที่มืดมิดมาเป็นปีก็กระจ่างขึ้น แล้วผมก็ได้เรียนโรงเรียนใหม่สมใจ แต่คราวนี้ทำให้ชีวิตผมพลิกผันอย่างสิ้นเชิง เพราะวิชาที่ผมเรียนแทบแย่ที่กรุงเทพฯ กลับได้เปรียบนักเรียนต่างจังหวัด แม้จะเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และนักเรียนเรียนเก่ง แต่ปรากฏว่า ผลการสอบออกมาผมได้อยู่ในแถวหน้าของชั้นระดับหนึ่งในสามของชั้น ภาษาอังกฤษทั้งชั้นแปลกใจ และในที่สุดได้คะแนนรวมเป็นที่หนึ่งของชั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต อย่างที่ผมไม่เคยคาดฝัน และได้เพื่อนสนิทคนใหม่ที่เรียนเก่งสูสีผลัดกันเป็นที่หนึ่ง แข่งเรียนกันตลอดชื่อ สุนทร วิทยเมธ
แล้วผมกับสุนทรกลายเป็นคู่ซี้ก็ช่วยกันสร้างสโมสรภาษาอังกฤษในโรงเรียนทำให้เกิดการตื่นตัวเรื่องภาษาอังกฤษกันใหญ่ หาครูพิเศษมาสอนตอนเย็น ไปโบสถ์คริสต์ไปร้องเพลงอวยพรพระเยซู เพราะอยากฝึกภาษาอังกฤษฟรี สุนทรนี่เอง ต่อมาหอบหิ้วกันมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ เป็นเพื่อนรักกันอยู่หอพักเดียวกัน ห้องติดกัน ตอนหลังสุนทรจบธรรมศาสตร์ ได้ดิบได้ดี ไต๋เต้าจนได้เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศบังกลาเทศ และประเทศโอมานจนเกษียณอายุและยังสนิทกันจนทุกวันนี้
ภาษาวิกฤตพลิกเป็นโอกาส
ที่สำคัญคือ ทำคะแนนท็อปทั้งหมวดวิชาภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส วิชาภาษาอังกฤษที่ทำให้ผมแทบจะขาดใจตายเมื่อตอนเข้ามัธยมฯ 1 ภาษาที่ทำให้ผมอับอายนักเรียนทั้งชั้น ต้องส่งกระดาษเปล่าเวลาสอบ ได้คะแนนศูนย์ทั้งปี แต่วันนี้เป็นภาษาที่ใช้ทำมาหากินให้ผมมากที่สุด ไม่เคยตกงานเลย เป็นภาษาที่ทำให้ผมหางานทำง่าย ได้อยู่บริษัทฝรั่งใหญ่ๆ องค์กรระหว่างชาติ และใช้บุกเบิกสู่ความมีชื่อเสียงจนทุกวันนี้ เพราะอ่านตำราภาษาอังกฤษได้เป็นตู้ๆ ใช้เจรจาธุรกิจการค้าระดับชาติ สอนปริญญาโทภาคภาษาอังกฤษ แลคเชอร์ให้กับผู้บริหารระดับสูงชาวต่างประเทศ กล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษโดยไม่ต้องอ่านสคริปต์ และที่สำคัญที่สุดคือ สามารถนำไปใช้ติดตามไปช่วยหลวงพ่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกลไประดับสากลได้อย่างเต็มภาคภูมิ
สิ่งที่น่าขำคือ วันหนึ่งที่เจนีวาเพื่อนฝรั่งของผมที่เป็นระดับบิ๊กของธนาคารโลก ชื่อ อัลเฟรโด ซฟีร์ ยูนิส ซึ่งเป็นตัวแทนธนาคารโลกประจำสหประชาชาติ ระหว่างที่ช่วยกันปรับสุนทรพจน์ให้กับหลวงพ่อทัตตะชีโว ที่จะไปพูดที่สมัชชาใหญ่สหประชาชาติ เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า ยูเรียนภาษาอังกฤษมาจากประเทศไหน ทำไมใช้ภาษาได้ดีทีเดียว ทั้งพูดทั้งเขียน ผมก็ยืดอกตอบด้วยความภาคภูมิใจว่า อัลเฟรโด ผมเมดอินไทยแลนด์ ไม่เคยเรียนเมืองนอกเลย เพราะบ้านไอยากจนไม่มีปัญญาส่งเรียนมหาวิทยาลัย รู้ไหมว่า ไอจบแค่โรงเรียนอาชีวะ ต่ำทงานเป็นเสมียนพิมพ์ดีดในองค์กรอเมริกันตั้งแต่อายุ 19 ไอเรียนมหาวิทยาลัยก็เรียนภาคค่ำ ต้องทำงานไปส่งตัวเองเรียนหนังสือไป อัลเฟรโดก็ร้องว้าวทำตาโต ยกนิ้วโป้งแล้วพยักหน้าหงึกๆ ด้วยความประหลาดใจ
ครับ ชีวิตจริงคนเรา กว่าจะพลิกวิกฤตให้กลายเป็นทอง บางครั้งต้องใช้ความมานะ บากบั่นอดทน และรอคอยกว่าครึ่งชีวิต
|