“บ้านการ์ตูน”
โอกาสทองของคนรักหนังสือ
เรื่องโดย : ปัญญาพร วิทยาประดิษฐ์

    หลายคนคงรู้กันมาว่า ร้านเช่าหนังสือต่างๆ ได้เงินจากค่าเช่าครั้งละห้าบาทสิบบาท แต่จะมีใครที่รู้กันจริงๆ ว่ามันไม่ได้สิ้นสุดแค่เท่านั้น เงินจากห้าบาทสิบบาท ก็สามารถต่อยอดให้มันกลายมาเป็นเงินร้อย เงินพัน เงินหมื่นได้เหมือนกัน ดังที่มีภาษิตไทยว่าไว้ “มีสลึงพึงบรรจบ ให้ครบบาท...” คงจะเหมาะเจาะกับธุรกิจร้านเช่าการ์ตูน “บ้านการ์ตูน” ได้เป็นอย่างดี

    ไชยพิพัฒน์ มนประดิษฐ์ ผู้จัดการร้านเช่า “บ้านการ์ตูน” เล่าให้ โอกาสธุรกิจ&แฟรนไชส์ ฟังว่า เมื่อก่อนเคยเปิดทำบริษัทโฆษณามาก่อน แต่เกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจฟองสบู่ขึ้น เศรษฐกิจตกต่ำ และสิ่งที่จะกระทบเป็นสิ่งแรก ก็คือ บริษัทโฆษณา  ก็เลยได้ปิดกิจการไป แล้ววันหนึ่งก็ได้ไปเจอร้านเช่าหนังสือร้านหนึ่งใต้แฟลต ซึ่งเป็นของคนรู้จักก็เลยเข้าไปคุยด้วย “ผมได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่ทำร้านหนังสือเล็กๆอยู่ใต้แฟลต ก็ลองถามดูว่าร้านเล็กๆ อย่างนี้ เห็นคนเดินเข้าเดินออกไม่เยอะ ลองถามรายได้ว่าเป็นยังไงบ้าง คนเดินเข้าเดินออกน้อยมาก ก็เลยสงสัยว่าเขาอยู่ได้ยังไง เราถามเขาว่าได้ถึง 500 มั้ย เขาบอกว่าอะไรพี่ไม่ใช่นะ นี่ถ้าวันธรรมดา 700-800 บาท แต่ถ้าเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ได้เป็นพันเลย ถ้าฟังดูแล้วนี่เป็นช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเศรษฐกิจตกๆ ถามว่าถ้าเราไม่ได้ทำอะไร น่าสนใจมั้ย ก็เลยมานั่งคุยกันว่า เราทำกันดีมั้ย เพราะอย่างน้อยๆ เราก็มีความรู้ด้านหนังสือมากกว่าเขาอีก แล้วก็อีกอย่างนึงเราก็เป็นคนที่น่าจะจัดเป็น ตกแต่งเป็น พอแค่คิดมันก็บรรเจิด มันมีจินตนาการ ตอนแรกที่ทำร้านมันก็ลำบากหน่อย เพราะตอนที่ไปดูร้านเพื่อนใต้แฟลต ก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรมากมาย เพราะตัวเขาเองก็ซื้อต่อมาเหมือนกัน  ดังนั้นก็เลยไม่มีไกด์อะไรเลยสำหรับการเริ่มต้น ตอนที่ผมไปหาหนังสือจะมาลงที่ร้าน ผมยืนเคว้งเลย เพราะตอนนั้นผมเองก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการ์ตูนสักเท่าไหร่ ไม่ทราบว่าจะเอาการ์ตูนอะไรบ้างไปลงที่ร้าน แล้วก็เหมือนจะโชคดี ผมไปเจอผู้ชายคนหนึ่ง เขารับหนังสือพิมพ์จากหลายๆ สำนักพิมพ์มาขาย ก็เลยให้คำแนะนำกับผม ตอนที่ผมเปิดร้านใหม่ๆ ผมได้เลือกเปิดเป็นร้านเล็กๆ อยู่แถวหมู่บ้านเสรี ถนนพัฒนาการ เป็นร้านเล็กๆ แต่ตกแต่งร้านอย่างเต็มที่ของเรา แลดูสวย น่าเข้า ไม่แต่งร้านให้ดูทึบน่าอึดอัด” นี่จึงเป็นก้าวแรกของการเปิดร้านเช่าหนังสือของ ไชยพิพัฒน์ มนประดิษฐ์
    
ทำแล้วดีจึงบอกต่อเพื่อน
     ไชยพิพัฒน์บอกว่า หลังจากเปิดร้านเช่า “บ้านการ์ตูน” มาได้สักพักหนึ่งแล้ว มีความรู้สึกว่าธุรกิจนี้สามารถดำเนินการได้แน่นอน จึงอยากแนะนำเพื่อนที่ยังไม่มีอาชีพ หรือตกงานเพราะพิษเศรษฐกิจ หากพวกเขามีเงินทุนสักก้อน เขาก็จะสามารถเปิดร้านเช่า “บ้านการ์ตูน” ได้ ไชยพิพัฒน์จึงเริ่มแนะนำเพื่อนๆ
     “แรกๆ ผมยังไม่ได้ขายแฟรนไชส์ ผมแนะนำเพื่อนๆ ญาติๆ ให้เปิดร้านก่อน ผมช่วยเขาหมดทุกอย่าง เพียงแค่พวกเขามีเงินทุนสักก้อนเท่านั้นเอง พอเริ่มเปิดไปก็เริ่มควบคุมไม่อยู่ เนื่องจากว่า พอผมแนะนำเขาให้เปิด พอร้านเขาอยู่ตัวแล้ว เขาก็ไปแนะนำคนอื่นทำต่อ แล้วก็มีการบอกต่อไปเรื่อยๆ ผมก็เลยมาคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้ ก็น่าจะทำเป็นแฟรนไชส์จริงๆ จังๆ เลยดีกว่า”
     ดังนั้น แฟรนไชส์ร้านเช่าหนังสือ “บ้านการ์ตูน” ก็เลยเปิดเป็นแฟรนไชส์อย่างเป็นทางการ เมื่อปี 2548 ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งปัจจุบัน แฟรนไชส์ “บ้านการ์ตูน” มีสาขาทั้งหมด 88 สาขา โดยมีร้านต้นแบบเอง 2 สาขา
     ไชยพิพัฒน์บอกถึงความแตกต่างจากร้านเช่าอื่นๆ ว่า “รูปแบบร้านของผม จะสดกว่าที่อื่น ทุกอย่างผมจะค่อยๆ เปลี่ยนดีไซน์ไปเรื่อยๆ พอคนอื่นตาม ผมก็เปลี่ยนอีก คือจะพูดว่ารูปแบบมันตามกันได้ ผมไม่สามารถไปจดลิขสิทธิ์ได้ มันยังลำบาก และนอกจากรูปแบบแล้ว ผมยังเน้นเรื่องความเป็นระเบียบ เน้นการจัดร้านที่เป็นระเบียบ มีหมวดหมู่ หาหนังสือได้ง่าย เน้นเรื่องพนักงาน ผมจะมีการอบรมพนักงาน ผมจะทำให้ดีกว่าร้านอื่นๆ และที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องหนังสือ ผมจะจัดหาหนังสือมาใหม่อยู่ตลอด จะไม่หยุดนิ่ง เราจะหาหนังสือใหม่ๆ มาทุกอาทิตย์ มีความหลากหลาย มีหนังสือเกือบทุกประเภท”
ลงทุนครั้งเดียว
 สำหรับร้านเช่าหนังสือ “บ้านการ์ตูน” ใช้เงินลงทุนประมาณ 400,000 บาท ไม่รวมค่าเช่าตึกและชุดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทางบ้านการ์ตูนจะจัดร้านให้สามารถเปิดร้านได้เลย
 ไชยพิพัฒน์บอกว่า อยากให้คนที่มีงบสำหรับลงทุนตรงนี้ไปเลยครั้งเดียว แล้วได้ผลเลย ก็คือการจะลงทุนทำธุรกิจอะไรแล้ว ก็ควรจะลงทุนครั้งเดียวให้ใหญ่ไปเลยจะดีกว่า อย่าให้มีคู่แข่ง เปิดแล้วให้ธุรกิจดำเนินการอยู่ไปได้เลย ให้ธุรกิจแข็งแรงไปเลยจะดีกว่า เพราะหากถ้าเปิดเล็กๆ คู่แข่งมาเปิดแล้วได้โอกาส เปิดให้ใหญ่กว่า ร้านเล็กก็จบ ปิดกิจการไปได้เลย เพราะไม่มีโอกาสสู้ เพราะเขาจะปิดทางเราทั้งหมด
 “การดูแลแฟรนไซซี่ ผมจะจัดให้ตั้งแต่การจัดวางชั้นหนังสือ หนังสือ ซอร์ฟแวร์สำหรับร้านเช่าหนังสือ วางระบบให้ ซึ่งในเงินลงทุน 400,000 บาทนั้น ทางผมจะแยก 200,000 บาทเป็นงบสำหรับซื้อหนังสือชุดแรกเข้าร้าน แบ่งเป็นการ์ตูน 80 เปอร์เซ็นต์ และหนังสืออื่นๆ นิยาย พ็อกเก็ตบุ๊ค 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผมจะอัพเดทหนังสือจากที่ร้านของผมให้ทางแฟรนไชซี่”
 หลังจากบริษัทแม่ได้วางระบบต่างๆ ให้เรียบร้อยแล้ว หากเกิดปัญหาใดขึ้น ไชยพิพัฒน์บอกว่า ทางบริษัทแม่ก็จะให้คำปรึกษาแก่แฟรนไชส์ตลอดอายุธุรกิจ ในช่วงแรกที่เปิด ในกรณีการเลือกซื้อหนังสือเข้าร้าน เราก็จะมีการแนะนำ นัดเจอกันกับแฟรนไชซี่ทุกอาทิตย์ เพื่อไปเลือกซื้อหนังสือ จนแฟรนไชซี่สามารถเลือกซื้อหนังสือได้เอง ซึ่งโดยมากแล้ว จะอาศัยการโทรศัพท์คุยปรึกษากันเสียมากกว่า ซึ่งในเรื่องของซอร์ฟแวร์เราก็จะมีการอัพเดทให้เรื่อยๆ โดยในเรื่องของซอร์ฟแวร์ ทางบริษัทแม่ก็พยายามจะพัฒนารูปแบบต่างๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ
 “โปรแกรมของร้านเราจะมีอยู่สองช่วง คือ ช่วงแรกๆ เลย กับช่วงนี้ ซึ่งช่วงนี้เราจะเอาโปรแกรมปัจจุบันไปอัพเดทให้สาขาที่เปิดขึ้นมา แล้วยังใช้โปรแกรมรุ่นก่อนอยู่ เนื่องจากโปรแกรมที่พัฒนามันมีความสะดวกมากกว่า แต่ทางเราจะถามแฟรนไชซี่ก่อนว่า จะทำหรือเปล่า เพราะมันมีค่าใช้จ่ายอยู่เหมือนกัน และต้องทำหลังจากปิดร้านแล้ว ดังนั้น จึงแล้วแต่ความสะดวกของแฟรนไชซี่ว่าพร้อมหรือไม่” ไชยพิพัฒน์กล่าว
 นอกจากนั้น ทางบ้านการ์ตูนจะมีการอบรมพนักงานให้ด้วย โดยเป็นการปฎิบัติงานจริง ตั้งแต่วิธีการรับลูกค้า การใส่ถุงหนังสือ ยื่นถุงหนังสือ ซึ่งเป็นแบบของงานบริการทั้งหมด
     “งานแบบนี้บางร้านอาจจะไม่เข้าใจ งานบริการถือว่าสำคัญมาก ผมคิดแบบคนอ่านหนังสือ คือลูกค้าก็คือพระเจ้า ลูกค้าเป็นคนสำคัญของเรา เขาเอาเงินมาให้เรา ถึงจะสามบาทห้าบาท แต่ก็เป็นเงินนะ เขาก็ต้องการบริการที่ดีเหมือนกัน” ไชยพิพัฒน์กล่าว
 “คนที่อยากทำก็เยอะอยู่ เราก็พยายามทำอะไรที่มันเป็นกิจลักษณะ ให้มันดูว่า เวลาใครคิดสักคน แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะไปกลัวคู่แข่งนะ เนื่องจากเหตุที่เราต้องทำตรงนี้เพราะธุรกิจตัวนี้ ไปได้ดี ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย แล้วกำไรก็สูง เพราะฉะนั้นกลุ่มที่มาซื้อธุรกิจนี้ตอนนี้จะเป็นเด็กรุ่นใหม่ เพราะเขาเห็นว่ามันทำได้ หนังสือต้องมีขายอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ร้านเช่าก็ไม่ต้องไปกลัว หมายความว่า เราทำร้านเช่า แต่ว่าเราจะทำได้ดีแค่ไหนยังไง บางคนเขาก็คิดว่าหลังจากนี้ไปสองปี แล้วจะหาอะไรให้ลูกค้าอ่าน อย่าลืมว่าหนังสือออกมาใหม่ทุกวัน หาได้ทุกวัน ร้านของเราก็ใหญ่ขึ้น ถึงแม้ว่าหนังสือจะเพิ่มเข้ามา ร้านของเราก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หนังสือก็จะกลายเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น ตอนเริ่มต้นมูลค่าหนังสือที่มีอาจจะสองแสนบาท แต่ต่อไปสามสี่ปีก็กลายเป็นเงินล้านได้เหมือนกัน”
    
ทำธุรกิจได้.. ต้องมีใจ
 คุณสมบัติของแฟรนไชซี่บ้านการ์ตูนนั้น ไชยพิพัฒน์บอกว่า ต้องเป็นคนที่รักการอ่าน  รักหนังสือ รักการบริการ และหลักๆ ก็คือต้องใจชอบ
     “การจะเปิดร้านหนังสือเช่า ถ้าผู้ลงทุนเป็นคนที่มีใจรักหนังสือจริงๆ แล้ว มันดูดีที่สุดนะในการทำธุรกิจนี้ เปิดมาแล้วเราควรจะดูแลร้านด้วยตัวเอง เวลาลูกค้ามาถามหาหนังสือ เรามีความยินดีที่จะหาให้เขาได้อ่านอย่างนี้มันไวกว่าที่จะให้เด็กอยู่แทน บางทีเด็กไม่ค่อยจะใส่ใจ อย่างถ้าผมอยู่หน้าเครื่องเอง ผมได้สัมผัสกับลูกค้าด้วยตัวเอง ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำ ลูกค้าติดนะ บางทีลูกค้าเขาอาจจะไม่ติดหนังสือ แต่จะติดเจ้าของร้าน ติดคนที่อยู่ในร้าน คือลูกค้าอาจจะไม่เหมือนลูกค้าทั่วๆ ไป คือมาแทบจะทุกวัน”
     ท้ายนี้ไชยพิพัฒน์ให้แง่คิดว่า “การทำธุรกิจ เราต้องคิดดีต่อลูกค้าทุกคน คือเราต้องตั้งไว้เลยว่า ลูกค้าที่จะมาอ่านหนังสือต้องเป็นคนดี นี่คือสิ่งที่เราต้องคิด เราคิดว่าเขาต้องเป็นคนใฝ่รู้ อยากหาความรู้ รักการอ่าน เราคิดว่าลูกค้าจ่ายค่าสมาชิกแล้ว ก็ต้องอยากใช้บริการให้คุ้มค่ากับที่จ่ายไป เราก็จะต้องบริการเขาให้ดีที่สุด
    

รับสมัครงานด่วนหลายตำแหน่ง more...
 
26 ก.พ.-1 มี.ค. 52 พบกับงานซื้อ-ขายธุรกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี 52 งานโอกาสธุรกิจ&แฟรนไชส์ ครั้งที่ 13....
 
แบบสอบถามแฟรนไชส์ซี่ (รับสิทธิ์สมัครสมาชิกนิตยสารฯ ฟรี!! 1 ปี)
ถ้าไม่สามารถอ่านเอกสารได้
ดาวน์โหลดโปรแกรมที่นี่....
            
 
 
 

บริการงานเว็บไซค์

 

 
 
- ditto world
- music palace
- pompadour
- blink
- สังขยา กาแฟ
- big move
- โจเอลลี่ โมอีส
- จันทร์สว่าง